ตามข้อมูลจากดัชนีหุ้น 300 ตัวในตลาดเอเชียของนิเคอิ Top Glove บริษัทผลิตถุงมือยางจากมาเลเซีย รั้งอันดับที่หนึ่งบริษัทที่มีอัตราการเติบโตของมูลค่าหุ้นมากที่สุดในครึ่งแรกของปีนี้ ที่ร้อยละ 242.6 ส่งให้กำไรสุทธิรวม 10 เดือน นับตั้งแต่ ส.ค.ปีก่อนหน้า จนถึงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา สูงถึง 134 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 4,200 ล้านบาท มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าเกือบสองเท่า โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากความต้องการสินค้าท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นอกจากนี้ คู่แข่งร่วมประเทศและร่วมอุตสาหกรรมอย่าง Hartalega Holdings ยังสามารถขึ้นมารั้งอันกับที่สองบริษัทที่มียอดการเติบโตของราคาหุ้นได้เช่นเดียวกัน ที่สัดส่วนร้อยละ 137.2 โดยมี Kakao บริษัทผู้ให้บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ตติดเข้ามาในอันดับที่ 3 และกลุ่มอิชิตัน ของไทยติดเข้ามาในอันดับที่ 6
ข้อมูลจากบลูมเบิร์กเสริมว่า สามบริษัทผู้ผลิตถุงมือยางของมาเลเซียยังสร้างมูลค่าให้ตลาดได้สูงถึง 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 820,000 ล้านบาท อีกทั้งหุ้นในกลุ่มนี้ยังกลายเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนหมายตา เนื่องจากเม็ดเงินมากกว่าหนึ่งในสิบของตลาดหุ้นมาเลเซียถูกใช้ไปกับอุตสาหกรรมผลิตถุงมือของประเทศ ในทำนองเดียวกับที่ตลาดหุ้นของเกาหลีใต้และไต้หวันให้ความสำคัญกับตลาดสารกึ่งตัวนำ (semiconductor)
โรส คาแมรอน ผู้จัดการกองทุนจาก Northcape Capital ชี้ว่า หุ้นที่พุ่งขึ้นของบริษัทในอุตสาหกรรมผลิตถุงมือยางให้ความคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดกับเทสลา อย่างไรก็ตาม โรส ย้ำว่า การเติบโตในฝั่งถุงมือยางนั้นมีความมั่นคงมากกว่าเทสลามาก เนื่องจากมีการคาดการ์ว่าอุตสาหกรรมดังกล่าวจะโตอย่างต่อเนื่อง และมีผลประกอบการเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าหนึ่งเท่าตัวในปีหน้า
ด้าน ลิมวีชัย ผู้บริหารสูงสุดของ Top Glove ประเมินว่าความต้องการถุงมือยางของตลาดทั่วโลกทั้งปีนี้ น่าจะอยู่ที่ราว 306,000 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้นจากตัวเลขในปีก่อนหน้าถึงร้อยละ 20 ขณะที่บริษัทมองว่าจะได้ส่วนแบ่งตลาดราวร้อยละ 35
อ้างอิง; Bloomberg, Yahoo Finance, Nikkei Asian Review, Inv