นางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวถึงผลสรุปการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 25 (COP25) การประชุมรัฐภาคีพิธีสารเกียวโตสมัยที่ 15 (CMP15) และการประชุมรัฐภาคีความตกลงปารีสสมัยที่ 2 (CMA2) ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อปลายปีที่ผ่านมา (2562) ว่าประเทศไทยได้แสดงจุดยืนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศและความพยายามยกระดับการดำเนินงานของอาเซียน ที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จลดก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณร้อยละ 14 ในปี 2560 เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2 เท่าตัวของเป้าหมายในปี 2563 ซึ่งจะเป็นตัวอย่างการมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคด้วยโดยตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงจากด้านพลังงานเพียงเท่านั้น ยังไม่รวมด้านคมนาคมและขนส่ง
ทั้งนี้ หากมีการพัฒนาระบบคมนาคมที่ครบทั้งระบบแล้วจะส่งผลให้ตัวเลขของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้รวดเร็วแน่นอน จากนี้จะบูรณาการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับประเด็นสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การลดมลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ และการจัดการขยะทะเลเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ร่วมกับประเทศต่างๆ ภายใต้กลไกความร่วมมือพหุภาคี
เลขาธิการ สผ. กล่าวย้ำว่า ยังได้รับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและวิทยาการสมัยใหม่จากประเทศเยอรมนีที่จะช่วยส่งเสริมการเพาะปลูกและปศุสัตว์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนระหว่างขั้นตอนการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีความก้าวหน้าผลผลิตมีคุณภาพและมีส่วนช่วยรักษาสภาพแวดล้อมของโลกมากขึ้น