ไม่พบผลการค้นหา
ผลสำรวจชี้ 17 ประเทศเสี่ยงเจอวิกฤตน้ำขั้นรุนแรงในอนาคต ส่วนไทยติดกลุ่ม 'เสี่ยงปานกลาง' ย้ำ ทั่วโลกต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำให้ดี แนะลดการบริโภคน้ำทุกภาคส่วน ใช้วิธีบำบัดน้ำเสีย-นำกลับมาใช้ใหม่ ปรับโซนปลูกพืชทนแล้ง

สถาบันทรัพยากรน้ำระหว่างประเทศ หรือ WRI เผยแพร่รายงานสถานการณ์น้ำทั่วโลกประจำปี 2019 พบว่าหลายประเทศทั่วโลกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเผชิญกับวิกฤตขาดแคลนน้ำขั้นรุนแรงในอนาคต และวันขาดแคลนน้ำ หรือ Day Zero จะกลายเป็นเรื่องปกติ ส่วนการรวบรวมข้อมูลทำรายงานของ WRI อาศัยสถิติของหน่วยบริหารจัดการน้ำในแต่ละประเทศ ทำให้สามารถแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ได้ 5 กลุ่ม คือ กลุ่มเสี่ยงรุนแรง กลุ่มเสี่ยงสูง กลุ่มเสี่ยงปานกลางระดับสูง กลุ่มเสี่ยงปานกลางระดับต่ำ และกลุ่มเสี่ยงต่ำ

ทั้งนี้ 17 ประเทศที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงรุนแรงที่จะเผชิญกับวิกฤตน้ำ คือ กาตาร์ อิสราเอล เลบานอน อิหร่าน จอร์แดน ลิเบีย คูเวต ซาอุดีอาระเบีย เอริเทรีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซานมารีโน บาห์เรน อินเดีย ปากีสถาน เติร์กเมนิสถาน โอมาน บอตสวานา

ขณะที่ 'ไทย' ติดกลุ่มประเทศเสี่ยงปานกลางระดับสูง กลุ่มเดียวกับอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ จีน เยอรมนี ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ในอีกหลายภูมิภาค รวมทั้งหมด 23 ประเทศ

ส่วนสาเหตุที่จะทำให้เกิดวิกฤตน้ำ ได้แก่ สภาวะโลกร้อน สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดภัยแล้งหรือภัยธรรมชาติอื่นๆ บ่อยขึ้น แต่ปัจจัยสำคัญที่สุด คือ จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการบริโภคทรัพยากรน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทางเลี่ยง แต่หลายประเทศที่ประสบวิกฤตน้ำอยู่แล้วก็สามารถหาทางปรับเปลี่ยนแนวทางบริหารจัดการน้ำ จนสามารถรับมือกับภาวะขาดแคลนน้ำได้ในระดับหนึ่ง

รายงานของ WRI ระบุว่า ประเทศที่ประสบภาวะเสี่ยงวิกฤตน้ำและสามารถปรับตัวรับมือได้อย่างเป็นระบบ ได้แก่ โอมาน ซึ่งนำทรัพยากรน้ำในประเทศราว 82 เปอร์เซ็นต์มาใช้ในการอุปโภคบริโภคล่วงหน้าแล้ว เมื่อประสบปัญหาภัยแล้งที่หนักหน่วงขึ้น ทำให้โอมานใช้วิธีบำบัดน้ำเสียประมาณ 74 เปอร์เซ็นต์กลับมาใช้ใหม่ ส่วนประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น บาห์เรน คูเวต กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และยูเออี นำน้ำเสียกลับมาใช้ใหม่ได้ประมาณ 44 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีแผนจะพัฒนาระบบบำบัดน้ำทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำในอนาคต

นอกเหนือจากการนำน้ำเสียมาบำบัดเพื่อกลับมาใช้ใหม่ WRI ยังระบุด้วยว่า แนวทางลดการบริโภคน้ำในครัวเรือนและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็เป็นหนึ่งในมาตรการที่ได้ผล โดยเฉพาะการรณรงค์ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ประหยัดน้ำต่างๆ ส่วนการเกษตรและการชลประทานควรจะต้องพิจารณาแบ่งโซนประสบภัยแล้ง และรณรงค์เปลี่ยนจากการปลูกพืชที่ต้องใช้น้ำเยอะ เช่น ข้าวหรือฝ้าย ไปปลูกพืชอย่างอื่นที่ทนแล้งได้แทน

ส่วนเดอะการ์เดียนรายงานอ้างอิงคำแถลงของธนาคารโลก (World Bank) ซึ่งสนับสนุนข้อเสนอของ WRI โดยระบุว่า รัฐบาลทั่วโลกต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ เพราะปัญหาขาดแคลนน้ำจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในด้านอื่นๆ ตามมา ได้แก่ ปัญหาการอพยพย้ายถิ่นของประชาชนและสัตว์ต่างๆ ปัญหาขาดแคลนผลผลิตทางการเกษตร และอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องใช้น้ำ เช่น โรงงานอุตสาหกรรมและเหมืองแร่

https://wriorg.s3.amazonaws.com/s3fs-public/uploads/aqueduct-30-blog-05_0.png

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: