ไม่พบผลการค้นหา
‘ลำไย ไหทองคำ’ นักร้องอินดี้อีสาน เผยสิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางนักร้อง และวิธีรักษาความนิยม อย่าคิดว่าเก่งแล้วหยุดพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับตนเอง สนุกกับการทำงานหนักเพราะรู้ซึ้งถึงคำว่า “ความจนมันน่ากลัว” ทำให้ขาดโอกาสหลายอย่าง

หลังจากแจ้งเกิดกับเพลงผู้สาวขาเลาะ เมื่อปี 2559 มาจนถึงปี 2563 ‘ลำไย ไหทองคำ’ ขึ้นแท่นเป็นนักร้องหญิงยอดนิยมต่อเนื่องมาแล้ว 3 ปี โดยมีคิวงานที่แน่นทุกวัน ทั้งเดินสายแสดงคอนเสิร์ตเฉลี่ย 3 งานต่อวัน งานพรีเซ็นเตอร์โฆษณามากกว่า 20 ตัว งานอีเว้นต์ และออกรายการโทรทัศน์เป็นเครื่องการันตี ล่าสุดได้รับรางวัล นักร้องหญิงยอดนิยม จากการประกาศผลรางวัลมหานครอวอร์ดส ประจำปี พ.ศ.2562

นักร้องสาวคนดังค่ายไหทองคำ เรคคอร์ด เปิดใจกับ ทีมข่าววอยซ์ ออนไลน์ ในกองถ่ายมิวสิควีดิโอ ที่ จ.ขอนแก่น เธอเชื่อว่า การที่เธอก้าวมาถึงจุดนี้ได้ เพราะใจรัก ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่หลานท่าน อาทิ คุณครู ผู้บริหารค่ายเพลง เจ้าภาพจัดงาน และคนขายงานศิลปิน ประสบการณ์การเดินสายร้องเพลง เต้น และรำตั้งแต่สมัยใส่คอซอง หาเงินค่าข้าวค่าขนมไปโรงเรียน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวที่มีฐานะยากจน จำใจจากแผ่นดินอีสานบ้านเกิดมาทำมาหากินต่อลมหายใจในเมืองใหญ่ และประสบการณ์ช่วงที่เป็นนักร้องโนเนม เดินสายกับวงดนตรีอีเลคโทนมีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการเอ็นเตอร์เทนผู้ชมหน้าเวที ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นักร้องพึงมีไว้ใช้เรียกแขก

“หนูชอบเสียงเพลง ชอบการแสดงออก ชอบเต้น พอมาทำงานตรงนี้ รู้สึกว่าทุกวันที่เราทำงานมันไม่น่าเบื่อ เหมือนได้ไปเที่ยว ไปเล่น ไปสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เคยไป ได้เจอกับแฟนเพลง และผู้คนที่ไม่เคยเจอ เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ ป.4 อายุ 10 ขวบ เป็นตัวแทนโรงเรียนไปร้องเพลงไปแสดงรำตลอด ศึกษาการแสดงของนักร้องตั้งแต่เด็กว่าเขาทำยังไง เล่นยังไงถึงทำให้คนดูมีความสนุกสนาน มีอารมณ์ร่วมกับเราหรือที่ภาษาคนวงการเพลงเรียกว่าเอาคนดูอยู่ ใครเล่นยังไง มีคำพูดอะไรคมๆ ก็จะดูซ้ำๆ วนไป เพราะเชื่อว่าการดูอะไรซ้ำๆ วนๆ ทำให้จำ เหมือนการแกะเพลงเลือกเปิดฟังมากกว่าท่องเนื้อ ฟังจนจำอยู่ในหัว แล้วก็นำมาประยุกต์ใส่ความเป็นตัวเองเข้าไป บนเวทีไม่มีสคริปต์ตายตัวดูอารมณ์ผู้ชมหน้าเวที เราวางไว้อีกแบบหนึ่งเขาชอบอีกแบบหนึ่งจะปรับเลย”

ลำไย ไหทองคำ

นักร้องสาวแนวอินดี้อีสานวัยยี่สิบต้นๆ บอกต่อว่า ในยุคที่สื่อโซเชียลกำลังบูม ทำให้การทำเพลงสะดวกสบายกว่าเมื่อก่อน แต่กว่าคนหนึ่งคนจะประสบความสำเร็จเป็นนักร้อง โดยเฉพาะสายลูกทุ่ง หมอลำ รวมถึงแนวอินดี้อีสาน มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของสาธารณชนต้องฝ่าด่านทดสอบที่หนักหน่วงเอาการ และการรักษาความนิยมเอาไว้ ยิ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า เพราะมีเด็กรุ่นใหม่พร้อมจะแซงขึ้นมาได้ตลอดเวลา โดยวิธีรักษาความนิยมของเธอ คือ อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้วหยุดพัฒนา

“การที่เราไม่หยุดนิ่งจะทำให้เราพัฒนาไปเรื่อยๆ ถ้าคิดว่าเก่งแล้วก็อยู่แค่นี้ เพราะฉันคิดว่าฉันเก่งแล้ว แล้วคนรุ่นใหม่ คนที่เขาพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ ก็จะแซงหน้าเรา แต่ถ้าไม่หยุดพัฒนาตัวเอง คิดว่ายังทำไม่ดี หาข้อบกพร่องของตัวเอง เราจะได้อะไรใหม่ๆ เข้ามา จะเก่ง เก่ง เก่ง ขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งมีขีดความสามารถมากขึ้นยิ่งดี ยกตัวอย่างถ้าร้องเต้นเล่นได้ครบเครื่อง ทั้งลูกทุ่ง หมอลำ สตริง อินดี้อีสาน อาจไม่ดีทุกแนวแต่ก็ช่วยเพิ่มความสุข สร้างความประทับใจให้กับแฟนๆ มากขึ้น”

“หนูเป็นคนที่บางทีก็พูดทะลึ่งบ้าง แต่ว่าหนูก็จะดูว่า สถานการณ์หน้าเวทีตรงนี้ พูดไปแล้วคนจะกรี๊ด หรือคนจะหรือคนจะนิ่ง สมมติว่าตรงนี้เขาแฮปปี้กับตรงนี้มาก เราก็สามารถเล่นได้แบบตามสบาย แต่ถ้าตรงไหนที่ หนูรู้สึกว่าเขาค่อนข้างเป็นแขกผู้ใหญ่ เราก็จะปรับเปลี่ยนไปอีกทางหนึ่ง”

ลำไย บอกอีกว่า วิธีที่เธอใช้รักษาความนิยม ยังมีอีกหลายวิธี อาทิ ให้ความสำคัญกับแฟนคลับ และคนที่ติดตามผลงานทุกเพศทุกวัย การทำให้แฟนเพลงประทับใจโดยในแบบที่เป็นตัวของตัวเองตั้งแต่แรก จะก่อให้เกิดความรักในครั้งต่อไป และมีมิตรภาพที่ยาวนาน

“เวลาไปเจอแฟนคลับหน้าเวทีจะให้เวลาเต็มที่เลย ลงจากเวทีปุ๊บมาเลยมาถ่ายภาพกันจนครบทุกคน แต่ขอให้ต่อคิวกันเพื่อความเป็นระเบียบ จับมือพูดคุยกันให้ทั่วถึง เป็นตัวของตัวเองทำให้แฟนๆ เขารักเราในแบบที่เป็นเรา ถ้าไปเฟคยังไงก็เฟคไม่ได้ตลอดหรอก มันจะกลายเป็นว่าวันนั้นยังดีอยู่เลยทำไมวันนี้เป็นแบบนี้ แฟนๆ ก็มีหลายกลุ่ม กลุ่มโซเชียลเยอะจริง แต่ก็ยังมีหลายกลุ่มที่ไม่ถนัด ยังถนัดดูทีวี ฟังวิทยุอยู่บ้าน ไม่เล่นเฟซบุ๊กซื้อบัตรไปดูคอนเสิร์ตเลย ต้องให้ความสำคัญทั่วถึง พรีเซ็นต์ตัวเองผ่านสื่อโซเชียลแล้ว สื่ออื่นก็สำคัญ การได้ไปออกรายการทีวี สัมภาษณ์รายการวิทยุ ยิ่งทำให้คนจำเราเหนียวแน่น”

ลำไย ไหทองคำ

นอกจากนี้ ยังมีการให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน มีระเบียบวินัยในการทำงาน โดยเฉพาะเรื่องการตรงต่อเวลา รวมถึงการน้อมรับคำติชม

“หนูรู้สึกนะคะย้อนกลับไปมองตอนนั้น (ก่อนมีชื่อเสียงและช่วงที่เริ่มเป็นที่นิยม) ภาพเราแรงมาก ถ้าเกิดเราเป็นคนอื่นก็จะด่าเราเหมือนกัน ต้องนั้นไม่รู้ไง ทำแบบที่พี่ๆ เขาทำ ต่อมาก็ปรับตัวเพราะมีพี่ๆ ในวงการ และอาจารย์ (ประจักษ์ชัย ไหทองคำ ผู้บริหารค่ายไหทองคำฯ) ให้คำแนะนำ คอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก ในยูทูบ ก็รับฟังและปรับตัว แต่ก็ไม่ได้ทิ้งความเป็นลำไยที่เกิดมาจากความเซ็กซี่ ลดความแรงลงให้ดูเป็นศิลปะมากขึ้น แตกต่างจากเมื่อก่อนแต่งตัววาบหวิว ร้องเพลงแนว 2 แง่ 3 ง่าม ภาพที่ออกมาด้านลบเป็นส่วนใหญ่ คำติก็เป็นเหมือนแรงผลักดันให้มีการพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ มีพลังที่จะเอาชนะคำที่เขาติเรา ถ้ามีแต่คนชมอย่างเดียวอาจจะเหลิงคิดว่าฉันทำดีแล้ว ไม่ต้องปรับปรุงอะไรแล้ว ไม่พัฒนาเดี๋ยวคนก็แซงหน้าเราไป”

ลำไย ย้ำหนักแน่น เธอไม่เคยกลัวดาวดวงใหม่มาแรง แต่สิ่งที่กลัวที่สุด คือ ตนเองหยุดพัฒนา เพราะทุกคนที่มีความฝันอยากเป็นนักร้องมีชื่อเสียง มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ แต่จะทำอย่างไรให้ยืนระยะอยู่ในวงการได้นานที่สุด หากในอนาคตเพลงแนวอีสานอินดี้ ซึ่งเป็นแนวเพลงที่ทำให้เธอโดดเด่นได้รับความนิยมน้อยลง

“ไม่กลัวว่าใครจะมาแซงหรืออะไร เพราะดาวดวงใหม่เกิดได้ตลอด แต่ละยุคแต่ละสมัยมีศิลปินเกิดมาต่อเนื่อง อย่างยุคก่อนก็เป็นแนวลูกทุ่ง มาเพลงใต้บูม ช่วงหนึ่งสตริงดัง แต่ช่วงนี้อาจเป็นช่วงของเรา และต่อไปก็อาจไม่ได้นิยมแนวนี้แล้ว ไปนิยมแนวอื่น ก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองไม่สิ้นสุด ไม่ให้มันตัน ด้วยการศึกษาว่าคนเขาชอบแนวไหนพัฒนาตามเรื่อยๆ เหมือนแฟชั่นการแต่งตัวที่กลับมานิยมแนววินเทจ เมื่อมันไปสุดแล้วก็ย้อนกลับมาไหลวนเป็นวัฏจักร ส่วนตัวคิดแบบนี้ ต้องไม่ขี้เกียจพัฒนา และค้นคว้าต่อไปเรื่อยๆ”

หลังจากพูดถึงแนวทางการเตรียมตัวรับมือกับอนาคต นักร้องสาวจาก อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ย้อนกลับมาปัจจุบัน เธอมีความสุขมากที่ได้ทำงานที่ตนเองรัก ใช้ความสามารถด้านการร้องเพลงยกระดับครอบครัวยากจนให้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นหลายเท่าตัว พร้อมลุยงานหนัก เก็บเงินสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง และครอบครัว หลังจากซื้อบ้านซื้อรถแล้ว มีการวางแผนใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ไม่ต้องการถอยหลังกลับไปเผชิญต่อสู้กับความยากจนอีกแล้ว เพราะมีประสบการณ์ตรงจนรู้ซึ้งเต็มอกว่า ความจนมันน่ากลัว ไม่ใช่แค่จนแล้วจบ แต่ยังทำให้ขาดโอกาสอีกหลายอย่าง หากใครบอกว่า เงินไม่สำคัญ เธอขอเถียงว่าไม่จริง แค่ขับรถออกนอกบ้าน ขึ้นทางด่วนก็เสียเงินแล้ว กินข้าวหรือว่ากินน้ำ ทุกอย่างมันเป็นเงินหมด

ลำไย ไหทองคำ

“ตอนเด็กๆเลยก็เคยไปขายถั่วกับยาย ขายตามร้านอาหาร ตอนเรียนก็ไปเรียนรำ รับงานร้องเพลง งานรำ รำบนเรือ รำในโรงแรม รำหน้าไฟ จะไปกับกลุ่มเพื่อน งานไหนที่เขาไม่ต้องการนักร้องก็ไปเต้น เพราะเราเต้นได้อยู่แล้ว ไปเต้น ไปประกวด ไปขายของ ไปทุกอย่างเลย จึงเป็นคนที่ชอบทำงานแต่เด็ก พื้นฐานครอบครัวเราไม่ได้เป็นครอบครัวที่รวย หรือว่ามีตังค์ คือถ้าใครบอกว่าเงินไม่สำคัญ นี่หนูว่าไม่จริงนะ มันสำคัญมากค่ะ”

ที่บอกว่าความจนมันน่ากลัว เพราะว่าความจนเนี่ย ไม่ใช่แค่เราจนแล้วจบ คือจน ขาดโอกาสหลายๆ อย่าง ทั้งเรื่องไม่มีเงินเรียน ไม่มีเงินไปเรียนในด้านที่ตัวเองชอบ ไม่ได้ทำงานในด้านที่ตัวเองรัก คือมันหลายๆ อย่าง มันคือจุดเริ่มต้น มันเกิดจากตรงนี้ แต่ถ้าครอบครัวไม่ได้รวยแต่เราขยันทำงาน เรามีเงินพอที่จะส่งตัวเองเรียนในด้านที่ตัวเองชอบ แล้วเราก็ไปทำงานในด้านที่ตัวเองรัก มันก็จะมีความสุขกับการทำงาน เหมือนกับมันเป็นจุดเริ่มต้นของหลายๆ อย่างเช่นกัน” นักร้องสาว กล่าว