นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ โพสต์ข้อความแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต 39 ราย ซึ่งถูกพบเป็นศพในรถเทรลเลอร์ขนาดใหญ่ที่จอดอยู่บนถนนสายหลัก ไม่ไกลจากสวนในย่านอุตสาหกรรม 'วอเตอร์เกลด' ในเมืองเกรย์ส มณฑลเอสเซ็กซ์ของอังกฤษ ช่วงเช้าตรู่วันที่ 23 ต.ค.ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องน่าตกใจ
ส่วน 'ปริตี พาเทล' รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยและ ส.ส.เขตเอสเซกซ์ ทวีตข้อความว่าตำรวจในเอสเซกซ์จับกุมผู้ขับรถคันดังกล่าวได้แล้ว และจะดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียดต่อไป ทั้งยังระบุด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่าตื่นตะลึงและเศร้าใจอย่างยิ่ง ขณะที่ผู้เสียชีวิตมีทั้งชายและหญิง แบ่งเป็นผู้ใหญ่ 38 ราย และเยาวชนอีก 1 ราย
ด้าน 'แอนดรูว์ มาริเนอร์' นายตำรวจที่รับผิดชอบคดี ระบุว่า คดีนี้เข้าข่ายการฆาตกรรม ทั้งยังเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตในครั้งเดียวกันเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจะเร่งรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อระบุเอกลักษณ์ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด โดยจะประสานงานกับรัฐบาลบัลแกเรีย เนื่องจากพบเบาะแสเบื้องต้นว่า รถเทรลเลอร์คันดังกล่าวเดินทางจากเมืองหนึ่งในบัลแกเรียเข้ามายังสหราชอาณาจักรผ่านทางเมืองโฮลีเฮดในเวลส์
มาริเนอร์ระบุด้วยว่า สถานการณ์บริเวณชายแดนอังกฤษ-ฝรั่งเศส เช่น เมืองโดเวอร์และเมืองกาเลส์ ถูกตรวจสอบทุกอย่างเข้มงวด เพราะเกรงว่าผู้อพยพจะข้ามจากฝรั่งเศสมายังอังกฤษ ทำให้ขบวนการค้ามนุษย์เปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่นๆ แทน ซึ่งอาจรวมถึงกรณีรถเทรลเลอร์ที่พบศพ 39 ศพ เพราะการใช้เส้นทางอ้อมอาจเป็นสาเหตุให้ผู้ที่อยู่ในเทรลเลอร์เสียชีวิตเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
ส่วนผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมเป็นชายวัย 25 ปีจากไอร์แลนด์เหนือ กำลังถูกเจ้าหน้าที่สอบปากคำ ขณะที่รถเทรลเลอร์คันเกิดเหตุถูกจอดยังจุดที่มีผู้พบเห็นรายแรก โดยรายงานข่าวไม่ได้ระบุว่า ใครเป็นผู้แจ้งเหตุ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ฉุกเฉินมาถึง พบว่าผู้อยู่ท้ายรถเทรลเลอร์เสียชีวิตแล้วเกือบทั้งหมด ส่วนเยาวชนที่พบในรถเพียงรายเดียว มีอาการสาหัส และเสียชีวิตหลังจากเจ้าหน้าที่ไปถึงได้ไม่นาน
อย่างไรก็ตาม โศกนาฏกรรมนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในอังกฤษที่พบผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากการลักลอบขนย้ายผู้คนโดยเครือข่ายค้ามนุษย์ข้ามชาติ ซึ่งเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดเกิดขึ้นในปี 2000 หลังจากตำรวจในเมืองโดเวอร์ มณฑลเคนต์ ไม่ไกลจากลอนดอน พบศพชาวจีน 58 รายเสียชีวิตในตู้คอนเทนเนอร์
ที่มา: BBC/ The Guardian