นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึง ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ เพื่อสังหารนายพล กัสซิม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังหน่วยรบพิเศษ Quds Force ทหารคนสำคัญของผู้นำสูงสุดอิหร่าน เมื่อเช้าวันที่ 3 ม.ค. 2563 ว่าทางการสหรัฐฯ ให้เหตุผลการโจมตีดังกล่าวว่า มีจุดมุ่งหมายเพื่อปิดความเสี่ยงและรักษาความปลอดภัย ภายหลังมีรายงานความเคลื่อนไหวที่อาจเป็นภัยต่อทูตและพลเมืองอเมริกันในพื้นที่ ขณะที่ อิหร่านประกาศพร้อมออกมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด
อย่างไรก็ดี ผอ.สนค. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค และสร้างความผันผวนแก่ตลาดเงินและตลาดทุน โดยประเมินว่า ในระยะสั้น ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น โดยวานนี้ (3 ม.ค. 2562) ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเกือบร้อยละ 4 และมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวขึ้นอีกหากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย
นอกจากนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวจะกระตุ้นให้นักลงทุนหันไปถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ และสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับสูงขึ้น
ทั้งนี้ ในระยะกลาง-ยาว สนค. ประเมินว่า เหตุการณ์ดังกล่าวกระทบความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุน และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกเล็กน้อย แต่คาดว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมน่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยบวกด้านอื่นๆ ที่ช่วยบรรเทาผลกระทบ เช่น ความคืบหน้าการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐ - จีน และมาตรการ/นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากเกิดการตอบโต้ระหว่างกันและมีการปิดเส้นทางเดินเรือ ราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มสูงขึ้นไปอีก เพราะน้ำมันจากตะวันออกกลางส่วนใหญ่ผ่านทางช่องแคบฮอร์มุซ โดยอิหร่านเป็นประเทศที่มีบทบาทหลักในการควบคุมเส้นทางดังกล่าว
นอกจากนี้ การขนส่งสินค้า ก็มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยการเดินเรือกว่าร้อยละ 20 ของโลกใช้เส้นทางผ่านช่องแคบฮอร์มุซ หากมีการปิดเส้นทาง เรือบรรทุกน้ำมัน และสินค้า จะไม่สามารถใช้ช่องแคบเพื่อเข้าสู่มหาสมุทรอินเดียได้
ในประเด็นด้านการค้าและการส่งออกของไทย นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่า สินค้าส่งออกที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน (เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าชธรรมชาติ ก๊าซปิโตรเลี่ยมเหลว) มูลค่า 22,873.66 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 11 ของการส่งออกรวม 11 เดือนแรก ปี 2562 อาจได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความไม่สงบจะเพิ่มความท้าทายในการฟื้นฟูตลาดส่งออกในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอิรัก และอิหร่าน และตลาดแอฟริกาที่มีประเทศในตะวันออกกลางเป็นช่องทางการค้า (trading posts) ให้สินค้าไทย แต่เชื่อว่ายังอยู่ในวิสัยที่สามารถหาแนวทางขยายการค้าได้ โดยกระทรวงพาณิชย์ พร้อมนำทัพภาคเอกชนเดินทางไปรุกตลาดอย่างน้อย 16 ประเทศ ซึ่งรวมถึงตะวันออกกลาง ในปี 2563 นี้
ดังนั้น แม้ขณะนี้ไทยจะยังไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง นอกจากเรื่องตลาดทุนตลาดเงิน และราคาน้ำมันที่มีความผันผวนสูง แต่สนค. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อเฝ้าระวังและเตรียมแนวทางรับมือในระยะต่อไป โดยเฉพาะหากมีการตอบโต้กันในวงกว้างขึ้น
ทั้งนี้ ในระยะ 11 เดือนแรกปี 2562 ที่ผ่านมา การค้าระหว่างไทยและตะวันออกกลาง มีมูลค่ารวม 25,683 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.8 ของการค้ารวม) โดยเป็นการส่งออกมูลค่า 7,649 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้า 18,034 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ การค้าระหว่างไทยและแอฟริกา มูลค่ารวม 9,373 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ร้อยละ 2.1 ของการค้ารวม) โดยเป็นการส่งออกมูลค่า 6,288 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการนำเข้า 3,085 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :