วันนี้ (31 พฤษภาคม 2568) การประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ (พิเศษ) นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ
โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ฝ่ายค้านได้อภิปรายพร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการจัดทำงบประมาณ โดยปิดท้ายด้วยการอภิปรายของนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ที่ตั้งข้อสังเกตถึงการตั้งงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ที่พบว่ามีการเสนอโครงการที่ไม่สอดคล้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ
- โครงการสร้างศูนย์บำบัดยาเสพติด 5,484 ล้านบาท
- โครงการ 1 อำเภอ 1 Soft Power 220 ล้านบาท
- งบประมาณจังหวัด โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการตั้งงบจัดซื้อ ตู้น้ำดื่มสะอาด ถึง 2,737 ล้านบาท
- โครงการที่มีการนำเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI)
- กองทุนบ้าน S M L ที่เตรียมจัดซื้อตู้กดน้ำดื่ม และมีการออกสเปครองรับ TOR มาแล้วทั้งที่งบปี 2569 ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาฯ
ที่สำคัญการตั้งงบลงทุนในปี 2569 วงเงิน 570,000 ล้านบาท เป็นการ
- สร้างถนนถึง 178,676 ล้านบาท
- การจัดการน้ำ 80,487 ล้านบาท
- อาคารราชการ 30,696 ล้านบาท
- โรงเรียน 11,665 ล้านบาท
- โรงพยาบาล 10,161 ล้านบาท
พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการสร้างตึกของหน่วยงานรัฐ ศิริกัญญา ระบุ ส่อล็อกสเปคและเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมา พร้อมทั้งเสนอแนะให้มีการปรับปรุงแก้ไขในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ช่วยกลั่นกรองให้เหมาะสมและตอบโจทย์การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนด้วย
ขณะที่ สส.ฝ่ายรัฐบาล อาทิ นายสัญญา นิลสุพรรณ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ พรรครวมไทยสร้างชาติ นางสาวสุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ นางสาวขัตติยา สวัสดิผล สส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนการจัดสรรงบประมาณเพื่อรับมือกับสถานการณ์เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเพิ่มขีดความสามารถ SMEs ข้อเสนอการจัดสรรงบประมาณแบบใหม่ที่ยืดหยุ่นแบบกระจายต่อปัญหา มีภารกิจนำ และลดการรวมศูนย์ให้ใกล้ชิดประชาชน ขณะที่ นายไชยชนก ชิดชอบ สส.จังหวัดบุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ได้เสนอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่เปราะบาง
ปิดท้ายด้วยนายสุทิน คลังแสง สส. พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายสนับสนุนการตั้งงบประมาณของรัฐบาลที่ต้องยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะงบประมาณด้านความมั่งคงและกองทัพ
ด้านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สลับกันชี้แจง อาทิ
- นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
- นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
- นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
- รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ปิดท้ายที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า รัฐบาลตั้งงบประมาณปี 2569 ยึดตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 แม้ว่าเป็นการตั้งงบประมาณแบบขาดดุล และเป็นรายจ่ายประจำถึง ร้อยละ 70 แต่มั่นใจว่าจะไม่ทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นจนเป็นภาระทางการคลัง และจะมีการคืนหนี้สาธารณะด้วย ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะทยอยลดลงเหลือไม่เกินร้อยละ 3.5 และจะมุ่งขับเคลื่อนนโยบายหลักของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ภายหลังการอภิปรายอย่างครบถ้วนที่ประชุมได้ลงมติในวาระ 1 โดยเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบให้รับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 322 เสียง ไม่เห็นด้วย 158 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง และงดออกเสียง ไม่มี พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 73 คน พร้อมกำหนดเวลาแปรญัตติ 30 วัน เริ่มประชุมนัดแรกวันที่ 9 มิ.ย.68
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้กล่าวในนามของรัฐบาล ขอบคุณรัฐสภา และ สส. ทุกคนที่ได้ร่วมกันพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณปี 2569 ซึ่งการจัดทำงบประมาณปีนี้ดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดของวงเงินงบประมาณ
- มาตรการกีดกัดทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก
- ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- สภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีปัจจัยรอบด้านที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลมั่นใจว่าสามารถขับเคลื่อนประเทศให้เกิดหน้าต่อไปได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า งบประมาณที่เสนอไปจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ ผ่านการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามที่ได้แถลงนโยบายไว้กับรัฐสภา และคำนึงถึงการจัดลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายงบเพื่อรองรับปัญหาเร่งด่วน เสริมสร้างทุนมนุษย์ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และยุทธศาสตร์ชาติอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ การจัดงบประมาณครั้งนี้มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำทุกมิติ สร้างโอกาสให้กับประชาชนทุกกลุ่มในการเข้าถึงทรัพยากรทั่วถึงและเป็นธรรม โดยรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศตามกรอบของกฎหมายวินัยการเงินการคลังที่กำหนดไว้ ขอนำข้อสังเกต และข้อเสนอแนะจากที่ประชุมสภาฯ ฝากคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายฯ ฉบับนี้ ที่จะตั้งขึ้นนี้นำไปประกอบการพิจารณาต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าว ท่ามกลางสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบทุกประเทศ ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายความสามารถของรัฐบาลชุดนี้ ตนมั่นใจว่ารัฐบาลจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส และจะใช้เม็ดเงินจากงบประมาณปี 2569 ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน
ทราบดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย รัฐบาลทำหน้าที่บริหาร และฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบ ถ้าทั้งสองฝ่ายมุ่งทำงานเพื่อผลประโยชน์เพื่อประชาชนเป็นหลัก ตนมั่นใจอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำพาประเทศผ่านวิกฤติไปได้ และเห็นผลสำเร็จร่วมกันได้อย่างแน่นอน