ไม่พบผลการค้นหา
รวบรวมมาให้แล้ว ธนาคารและสถาบันทางการเงิน ทยอยประกาศลดดอกเบี้ย ขานรับมติ กนง. ที่ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 13 ส.ค.2568

ธอส. ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อย MRR 0.25% ต่อปี ช่วยลดภาระด้านที่อยู่อาศัยและกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% ต่อปี เป็น 1.50% ต่อปี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ธอส. พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดภาระด้านที่อยู่อาศัยให้ลูกค้าและขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) 0.25% ต่อปี จากปัจจุบัน 6.495% ต่อปี เป็น 6.245% ต่อปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. ยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐอื่น

“การที่ ธอส. ปรับลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ต่อปี เนื่องจากต้องการช่วยลดภาระหนี้ให้กับลูกค้ารายย่อยที่เป็นฐานลูกค้าหลักของธนาคาร จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระเงินงวดของลูกค้าลดลงและทำให้มีเงินเพียงพอสำหรับการดำรงชีพต่อไปได้ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) อยู่ที่ 6.100% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) อยู่ที่ 6.000% ต่อปี ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับตลาด” นายกมลภพ กล่าว

ออมสินประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกตัว 0.25% ทั้ง MRR MLR และ MOR มีผล 15 สิงหาคม 68 หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินพร้อมเดินหน้าเคียงข้างประชาชนและภาคธุรกิจไทย สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่อง และสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการและประชาชน

ธนาคารออมสิน จึงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ดังนี้

- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อย (MRR) ลดเหลือ 6.295% ต่อปี

- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ (MLR) ลดเหลือ 6.325% ต่อปี

- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ลดเหลือ 6.095% ต่อปี

มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทของธนาคาร (MRR / MLR / MOR) ยังคงต่ำที่สุดในระบบ เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่

การปรับลดครั้งนี้ เป็นการสานต่อมาตรการช่วยเหลือที่ธนาคารได้ริเริ่มมาก่อนหน้านี้ ซึ่งได้เคยนำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้มาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2568 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินและกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้งยังสะท้อนการยึดมั่นในแนวทาง “ธนาคารเพื่อสังคม” ที่พร้อมปรับลดกำไรให้อยู่ในระดับเหมาะสม เพื่อขยายความสามารถในการช่วยเหลือภารกิจทางสังคมได้มากขึ้น

ธ.ก.ส. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ สูงสุด 0.25% ต่อปี

ธ.ก.ส. ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สูงสุด 0.25% ต่อปี โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าประเภทเงินเกินบัญชี (MOR) คงเหลือร้อยละ 6.375 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยลูกค้านิติบุคคลชั้นดี (MLR) คงเหลือร้อยละ 6.125 ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) คงเหลือร้อยละ 6.625 ต่อปี เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้สินให้กับเกษตรกรลูกค้ารายย่อยและลูกค้ากลุ่มเปราะบาง รวมถึงช่วยลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.75 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปี โดยให้มีผลทันที นั้น ธ.ก.ส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จึงพร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและสอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างยั่งยืน ธ.ก.ส. พร้อมช่วยบรรเทาภาระหนี้สินให้กับเกษตรกรลูกค้า รายย่อยและลูกค้ากลุ่มเปราะบาง รวมถึงช่วยลดผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาให้กับผู้ประกอบการ SME ภาคการเกษตร ให้สามารถฟื้นตัวและดำเนินงานต่อได้ตามปกติในภาวะที่เศรษฐกิจยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ธ.ก.ส. จึงปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุดร้อยละ 0.25 ต่อปี ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าประเภทเงินเกินบัญชี (MOR) คงเหลือร้อยละ 6.375 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยลูกค้านิติบุคคลชั้นดี (MLR) คงเหลือร้อยละ 6.125 ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) คงเหลือร้อยละ 6.625 ต่อปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

โดย ธ.ก.ส. ได้ออกมาตรการในการดูแลด้านหนี้สินอย่างครบวงจรให้กับเกษตรกรลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ มาตรการ พักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งมีผู้เข้าร่วมมาตรการเฟส 2 จำนวน 1.431 ล้านราย ต้นเงินกว่า 189,000 ล้านบาท โดยธนาคารได้ดำเนินการฟื้นฟูอาชีพให้กับลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ เพื่อเป็นการต่อยอดการประกอบอาชีพให้กับผู้เข้าร่วมโครงการให้สามารถลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ระหว่างการเข้าร่วมมาตรการ นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ได้มีการสนับสนุนเงินทุนผ่านสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการประกอบอาชีพของเกษตรกรทั้ง รายย่อยและผู้ประกอบการเกษตร อาทิ สินเชื่อแทนคุณ สินเชื่อเงินด่วนสิบหมื่น สำหรับสมาชิก อสม. และ อสส. วงเงินกู้ รายละไม่เกิน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ต่อเดือน และสินเชื่อเกษตรวิวัฒน์ เพื่อสร้างรายได้คู่ขนานจากการ ทำการเกษตร อัตราดอกเบี้ย 5 ปีแรก MRR - 2 ต่อปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศหรือ Call Center 02 5555 0555

กรุงไทย ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ช่วยประคองลูกค้าทุกกลุ่มฝ่าวิกฤต และปรับตัวรับระเบียบการค้าใหม่ของโลก และความท้าทายที่ซับซ้อนระยะข้างหน้า

ธนาคารกรุงไทย เร่งสนับสนุนคนไทยและธุรกิจไทยให้สามารถก้าวผ่านความท้าทายครั้งสำคัญ จึงประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% เพื่อช่วยลูกค้าทุกกลุ่มเร่งปรับตัว ภายใต้ข้อจำกัดจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังต้องใช้เวลาในการแก้ไข ลดภาระทางการเงินของประชาชน โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และ SME ประคองธุรกิจ และลูกค้า ประชาชนให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ สอดคล้องกับการปรับลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)

• อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน เป็น 6.620 % ต่อปี

• อัตราดอกเบี้ยเงินลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน เป็น 6.500 % ต่อปี

• อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน เป็น 7.045 % ต่อปี

โดยมีผลในวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากยังไม่เปลี่ยนแปลง

SME D Bank เคียงข้างเอสเอ็มอีไทย ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 0.25% ต่อปี เสริมแกร่งผู้ประกอบการยืนหยัดได้ในทุกสถานการณ์

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank เคียงข้างช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ขานรับนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท เพื่อบรรเทาภาระต้นทุนทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่

- ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate : MRR) จาก 7.575% ต่อปี ลดลงเหลือ 7.325% ต่อปี

- ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate : MOR) จาก 7.40% ต่อปี ลดลงเหลือ 7.20% ต่อปี

- อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ (Minimum Loan Rate : MLR) จาก 7.25% ต่อปี เหลือ 7.10% ต่อปี

มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

ขณะเดียวกัน SME D Bank ยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากไว้เช่นเดิม เพื่อสร้างโอกาสให้หน่วยงาน องค์กร กลุ่มนิติบุคคล สถาบัน หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน เพื่อเป็นทางเลือกในการหาแหล่งฝากเงินผลตอบแทนสูง ที่มีความมั่นคงและปลอดภัยสูงสุด

นอกจากการลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวแล้ว SME D Bank ยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ไว้ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงสินเชื่อที่มีต้นทุนต่ำ อัตราดอกเบี้ยเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ช่วยให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มศักยภาพนำไปลงทุนหรือเสริมสภาพคล่องในกิจการได้เป็นอย่างดี ผ่าน 3 โครงการสินเชื่อ ได้แก่ 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท 2.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” วงเงินกู้สูงสุด 1.5 ล้านบาท และ 3.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME” วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท

อีกทั้ง ยังส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีศักยภาพ ผ่านบริการด้านการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ด้วยแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เดินหน้าธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ สามารถแจ้งความประสงค์ รับบริการต่างๆ จาก SME D Bank ได้ผ่านสาขาต่าง ๆ ทั่วประเทศ

บสย. ประกาศลดดอกเบี้ย Prime Rate ครั้งที่ 3 ของปี เหลือ 5.60% ต่อปี มีผล 15 ส.ค. นี้

จากกรณีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ผลกระทบที่เกิดจากการบังคับใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ภาวะเงินเฟ้อ นโยบายการเงิน และการค้าโลก

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย. ขานรับนโยบายรัฐบาล โดยได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.25% ต่อปี คงเหลือ 5.60% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ บสย. จ่ายเคลมอย่างต่อเนื่อง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ของปี จากเมื่อต้นปี บสย. ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ลง 0.15% ต่อปี คงเหลือ 5.90% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2568 และเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 อีก 0.05% ต่อปี คงเหลือ 5.85% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2568

ตลอดเวลาที่ผ่านมา บสย. ยืนหยัดในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะการลดภาระทางการเงิน เพื่อให้ SMEs สามารถประคับประคองธุรกิจ เดินหน้าต่อได้ในภาวะเศรษฐกิจผันผวน และผลกระทบจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น

ปัจจุบัน บสย. มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลม ผ่านมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” หรือ มาตรการ 3 สี “ม่วง เหลือง เขียว” ที่เน้นออกแบบเพื่อรองรับกับความสามารถในการชำระหนี้ มีเป้าหมายเพื่อช่วยลูกหนี้ บสย. ลดภาระ-ปลดหนี้ แก้หนี้ยั่งยืน จุดเด่นของมาตรการคือ ยืดหนี้ยาวสูงสุด 7 ปี ช่วย SMEs “ผ่อนน้อย เบาแรง” พร้อม “ตัดเงินต้น ก่อนตัดดอก” และคิดอัตราดอกเบี้ย 0% ช่วยให้ลูกหนี้สามารถกลับไปเป็นลูกหนี้ปกติได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น นอกจากนี้ สำหรับลูกหนี้ที่ถูกจ่ายเคลมที่ต้องการ “ปลดหนี้” บสย. ยังให้ความช่วยเหลือพิเศษ “ลดต้นสูงถึง 30%” พร้อม “ปลดดอก” เพื่อต่อลมหายใจให้ลูกหนี้สามารถกลับมาเดินหน้าต่อได้อย่างยั่งยืน

EXIM BANK ยืนหยัดช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 6.10% ต่อปี ต่ำที่สุดในระบบอย่างต่อเนื่อง

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1.50% ต่อปี เพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง จากแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจไทย ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ดังนั้น เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาลในการเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระต้นทุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่ม SMEs ของธนาคาร EXIM BANK จึงประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate เหลือ 6.10% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ EXIM BANK ใช้สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs เทียบเท่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีหรือ MRR ของธนาคารพาณิชย์ นับเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดีที่ต่ำที่สุดในระบบ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

การปรับลดอัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในครั้งนี้เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 3 ของปี 2568 ตอกย้ำการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในระบบมาโดยตลอด พร้อมกับออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระหนี้และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในการปรับตัวท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน สอดคล้องกับพันธกิจของ EXIM BANK ในฐานะกลไกของภาครัฐในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจไทย รวมทั้งขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน