ที่สำนักงานอัยการสูงสุด อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จากกรณีโพสต์เฟซบุ๊ก ภาพหัวหน้า คสช.บนนิตยสาร TIME กับลงข้อความห้ามจำหน่ายในประเทศไทย และโพสต์ "พลังดูด ส.ส. 4.0" หลังจาก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่มีความเห็นแย้ง ซึ่งอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีไปก่อนหน้านี้แล้ว เนื่องจากการกระทำไม่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ตามที่ คสช.โดย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ยศขณะนั้นเป็นผู้รับมอบอำนาจ กล่าวหา
ทั้งนี้นายพิชัย เดินทางมาฟังคำสั่งที่สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 6 พร้อมด้วยนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ในฐานะทนายความ โดยกล่าวหลัง ฟังคำสั่งที่อัยการไม่ฟ้องคดีระบุว่า คดีนี้ไม่เข้าข่ายความผิดตั้งแต่ต้น แต่ผู้มีอำนาจต้องการฟ้องคดีเพื่อปิดปากตัวเองไม่ให้พิจารณาเรื่องเศรษฐกิจทั้งที่เป็นความจริง ซึ่งการดำเนินคดีลักษณะนี้ในยุค คสช.สร้างผลกระทบต่อประชาชนและนักวิชาการจำนวนมาก และปรึกษากับทนายความ ว่าอาจจะมีการฟ้องกลับทั้งทางอาญาและทางแพ่งต่อ คสช.และผู้เกี่ยวข้อง จะรวบรวมผู้เสียหายทั้งหมดฟ้องในคราวเดียวกัน และเห็นว่า มีความจำเป็นที่สภาผู้แทนราษฎรต้องตั้งกรรมาธิการมาศึกษาผลกระทบจากการใช้อำนาจของ คสช.ที่กำลังมีปัญหาอยู่ในสภาฯขณะนี้ด้วย เพราะนอกจากการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ในช่วงที่ คสช.มีอำนาจ ยังเรียกบุคคลไปปรับทัศนคติหรือรายงานตัวจำนวนมาก อย่างนายวิชัยเอง ถูกเรียกรายงานตัว ถึง 8 ครั้งซึ่งล้วนเป็นผลกระทบที่สร้างความเสียหายให้กับบุคคลโดยตรง แม้แต่เดินทางไปต่างประเทศก็ไม่สามารถทำได้
นายพิชัย ยังระบุถึงเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในปีหน้ายิ่งจะหนักขึ้น ตามที่ตัวเองเคยนำเสนอและได้เตือนรัฐบาลตลอดมา นับแต่เสนอแนวคิดภาวะ "กบในหม้อต้ม" ซึ่งทำให้ถูก คสช. เรียกรายงานตัวเป็นครั้งแรกๆ กระทั่งปัจจุบันถือว่าอยู่ในภาวะ "น้ำเดือด" แล้ว ซึ่งรัฐบาลไม่เคยฟังข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงจากผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีแต่ให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีออกมาย้ำว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่ ซึ่งทั้งหมดเกิดจากกรอบคิดของรัฐบาล ที่ไม่มองภาพกว้างและไม่รู้หรือยอมรับความจริงที่ประเทศกำลังเผชิญ รวมถึงความเชื่อมั่นที่ยิ่งไม่พูดความจริง นักลงทุนก็ยิ่งไม่ให้ความเชื่อมั่น ซึ่งอาจยังไม่เปลี่ยนวิธีคิดและยังดึงดันการดำเนินการทางเศรษฐกิจอย่างที่ผ่านมา จะยิ่งทำให้ประชาชนเดือดร้อนหนักและยังจะส่งผลต่อการส่งผลให้คนออกมา "วิ่งไล่ลุง" มากกว่าที่คาดคิดไว้ก็ได้
นายนรินทร์พงศ์ ระบุว่า การดำเนินคดีกับประชาชนและนักวิชาการของ คสช.สร้างผลกระทบ โดยตรงต่อผู้ถูกกล่าวหา หลังจากนี้จะส่งข้อมูลรวมถึงคำสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ให้กับบุคคลที่ต้องการ โดยเฉพาะผู้เสียหายจากการใช้อำนาจของ คสช. เพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป และเห็นว่า หากสภามีการตั้งกรรมาธิการศึกษาเรื่องนี้ ก็จะเป็นประโยชน์ เพราะหลายคดีมีการยกฟ้อง แต่ได้สร้างผลกระทบต่อผู้ที่ถูกฟ้องร้องคดีอย่างชัดเจน อย่างกรณีของนายพิชัย กว่าคดีจะสิ้นสุด ใช้เวลามากกว่า 1 ปี มีการเลื่อนนัดฟังคำสั่งถึง 9 ครั้ง แล้วสุดท้ายก็มีคำสั่งไม่ฟ้องในที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง