ไม่พบผลการค้นหา
สหราชอาณาจักรจะ “ฝ่าฟันพายุออกไป” ได้ คือคำยืนยันของ ลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่คนที่ 56 ของประเทศ ทั้งนี้ ทรัสส์ที่แถลงต่อประชาชนเป็นครั้งแรกเน้นย้ำว่า รัฐบาลภายใต้อำนาจของเธอจะเน้นภารกิจหลักไปที่นโยบายด้านเศรษฐกิจ พลังงาน และการบริการสาธารณสุข

ทรัสส์ย้ำว่า ภารกิจหลักของเธอคือการทำให้มั่นใจว่าจะมี “ความมั่งคั่งแด่ทุกคน” และเธอจะ “ตั้งมั่นทำมันให้สำเร็จ” โดยทรัสส์ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน บอริส จอห์นสัน อดัตนายกรัฐมนตรีที่ลาออกไป ในขณะที่จอห์นสันเองกล่าวกับพรรคอนุรักษนิยม เพื่อขอให้สมาชิกพรรคให้การสนับสนุนทรัสส์ต่อไป

ทรัสส์ที่ขึ้นพูดหน้าบ้านหมายเลข 10 ถนนดาวนิง หรือบ้านประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ระบุว่า มันเป็น “เกียรติ” ที่เธอได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี “ในช่วงเวลาอันสำคัญของประเทศของเรา” ทรัสส์ย้ำว่าสหราชอาณาจักรเผชิญกับความท้าทาย ที่เกิดขึ้นจาก "การรุกรานที่น่าตกใจ" ของรัสเซียในยูเครน และผลพวงของการระบาดใหญ่ของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ทรัสส์กล่าวว่าชาวสหราชอาณาจักรมี “ความเพียรและความมุ่งมั่น” ที่จะ “จัดการกับความท้าทายเหล่านั้น” ก่อนย้ำว่า “ถึงแม้พายุจะรุนแรง ดิฉันรู้ว่าคนสหราอาณาจักรแข็งแกร่งกว่า” โดยทรัสส์กำหนดเป้าหมายเริ่มต้นของเธอในฐานะนายกรัฐมนตรี ด้วยการเน้นนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยการลดและการปฏิรูปภาษี ดำเนินการเพื่อจัดการกับค่าพลังงาน และให้บริการด้านสุขภาพบน “ฐานที่มั่นคง”

หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ ทรัสส์ได้เริ่มแต่งตั้งรัฐมนตรีอาวุโสที่จะนั่งในคณะรัฐมนตรีของเธอ โดยมี ควาซี ควาร์เตง ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เธเรส คอฟฟีย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรองนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และ เจมส์ เคลฟเวอร์ลี ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และมี ซูเอลลา บราเวอร์แมน ผู้ซึ่งต่อสู้กับทรัสส์ในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม เข้ามาแทนที่ ปริตี พาเทล ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ในการต่อสายหาผู้นำต่างชาติหลังขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ทรัสส์ได้ต่อสายตรงไปยัง โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนเป็นคนแรก โดยผู้นำทั้งสองได้พูดคุยกันในประเด็นการ “ตัดเงินทุนเพื่อเติมเชื้อเพลิงให้กับเครื่องจักรทำสงครามของปูติน” ก่อนที่ทรัสส์จะต่อสายไปยัง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งสำนักนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรระบุว่าเป็นการ “สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืนในความสัมพันธ์อันแสนพิเศษ” ระหว่างทั้งสองชาติ


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/uk-politics-62810124?fbclid=IwAR3a4hgN7H6pBaULYRzyfThpkyrPGHIdng1ou7s9NqwCF6gH7IXzmjwgqOk