วันที่ 24 พ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย อดิศร เพียงเกษ ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ปิยบุตร แสงกนกกุล แสดงความเห็นว่า ตำแหน่งประธานสภาต้องเป็นของพรรคก้าวไกลเท่านั้น โดยระบุว่า พรรคก้าวไกลมีเสียง 152 เสียง ยังไม่เกินครึ่ง ถ้าทำให้ได้ 377 เสียงเหมือนพรรคไทยรักไทยในอดีต จึงสามารถชี้เป็นชี้ตายตำแหน่งใดก็ได้
อดิศร ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยยังสนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ใช่ว่าพรรคก้าวไกลจะไม่ให้พรรคอื่นดำรงตำแหน่งด้านนิติบัญญัติ เพราะตำแหน่งประธานสภาฯ ต้องดูความเหมาะสมแต่ละช่วงเวลา อย่างคราว ชวน หลีกภัย หรือ อุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาฯ ก็มาจากพรรคที่ไม่ได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับ 1 แต่อย่างใด
"ต้องดูปอนด์ต่อปอนด์ ผมมองว่า บุคลากรของพรรคเพื่อไทยมีความเหมาะสมกับตำแหน่งประธานสภามากกว่า แต่ข่าวที่ออกไป ไม่ใช่ออกมาแก่งแย่งกัน เพราะเป็นพรรคประชาธิปไตยทั้งคู่ คิดว่าตำแหน่งนี้ควรไปโหวตในสภา"
อดิศร ยังกล่าวต่อไปว่า ฝ่ายบริหารเราได้คนหนุ่มแล้ว แต่ฝ่ายนิติบัญญัติ ตนคิดว่าพรรคก้าวไกลควรแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ถ้าหากพรรคเพื่อไทยไม่เดินไปกับพรรคก้าวไกลก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้อยู่ดี
สำหรับความเป็นห่วงเรื่องวาระร่วมใน MOU ซึ่งปิยบุตรชี้ว่าไม่มีการระบุเรื่องแก้ไขมาตรา 112 พรรคก้าวไกลจึงจำเป็นต้องได้ตำแหน่งประธานสภาฯ นั้น อดิศร ระบุว่า ปิยบุตร คงเป็นห่วงภาพลักษณ์ของพรรค ที่ใช้เรื่องนี้หาเสียง แต่หากทำไม่ได้ จะกลายเป็นสู้ไปโกหกไปหรือไม่
อดิศร ยังระบุถึงอำนาจการบรรจุวาระพิจารณาเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 และ กฎหมายนิรโทษกรรมของว่าที่ประธานสภาฯ ว่า ไม่ทำตามอำเภอใจ เพราะยุคปัจจุบัน มีการสื่อสารมวลชนรวดเร็ว สามารถตรวจสอบได้ โดยได้เปรียบเทียบประธานสภาฯ ในอดีต ช่วงปี 2534 ที่ประธานสภาฯ ขณะนั้น ได้สลับชื่อนายกรัฐมนตรีจาก สมบุญ ระหงษ์ เป็น อานันท์ ปันยารชุน ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งตนเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะมีสื่อมวลชนและประชาชนช่วยตรวจสอบอยู่
อดิศร ได้ทิ้งท้ายว่า "ผมขออนุญาตสอน ปิยบุตร ในฐานะรุ่นน้อง ที่ต่างเคารพนับถือซึ่งกันและกัน ถ้าจะเป็นรัฐบาลอย่าห่วงเรื่องเล็ก"