เพราะ ผบ.เหล่าทัพชุดใหม่ แทบไม่ได้มาจากสายตรงของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือจาก ‘เน็ตเวิร์ก 3ป.บูรพาพยัคฆ์’ โดยเฉพาะ ‘2 ทหารคอแดง’ ได้แก่ ‘บิ๊กแก้ว’ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทสส. และรองผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ที่เติบโตมาจากสายทหารม้า พล.ม.2 รอ. และ ‘บิ๊กบี้’พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.และรองผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ที่โตมาจาก ร.31 รอ. และ พล.1 รอ. หรือสายวงศ์เทวัญ ซึ่งทั้งคู่จะเกษียณอายุราชการในปี2566 ถือเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ครบวาระ 4 ปีพอดี
แน่นอนว่าการทำปฏิวัติ-รัฐประหาร สามารถเกิดขึ้นได้ ตราบใดที่ระบบการปกครองของไทยยังเป็นรูปแบบเช่นนี้
แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ต่างจากอดีต หากถามถึง ‘เงื่อนไขอมตะ’ นั่นคือ ความรุนแรงทางการเมือง เพราะเป็นเหตุผลหลักในการสร้างความชอบธรรมในการทำรัฐประหาร
การขึ้นรับตำแหน่งของ ผบ.เหล่าทัพ ชุดใหม่ ก็ได้ย้ำถึงจุดยืนของกองทัพทางการเมือง โดยเฉพาะจาก 2 ทหารคอแดง โดย พล.อ.เฉลิมพล ย้ำว่า กองทัพไม่มีแนวคิดทำรัฐประหารและทำนอกรัฐธรรมนูญ โดยยึดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 หน้าที่ของกองทัพ และมาตรา 8 ในการปกป้องสถาบัน ในฐานะองค์จอมทัพไทย
ส่วน พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า โอกาสปฏิวัติเป็นศูนย์ ขอให้ช่วยลด ‘เงื่อนไขปฏิวัติ’ ให้ติดลบ โดยทหารไม่ความคิดทำรัฐประหาร เพราะการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง
“ในเรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ในแนวทางดำเนินการ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ เรามีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ในส่วนของทหารเรามีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และเชื่อมั่นอย่างที่ประชาชนเชื่อมั่นว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่แย่น้อยที่สุดในภาพของสังคมโลก” และ “การปฏิวัติไม่ได้อยู่ในความคิดของทหารในปัจจุบัน" พล.อ.เฉลิมพล กล่าว
“การเมืองเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการในส่วนของผู้เกี่ยวข้องกับการเมือง บทบาททหารไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่สิ่งที่อาจจะเกี่ยวพันหรือทาบทับกันคือเรื่องความมั่นคงของรัฐ ที่เป็นหน้าที่โดยตรงของทหาร ซึ่งไม่ต้องมีผู้ใดสั่ง แต่ภาพการปฏิบัติเราอยู่ภายใต้กรอบแนวทางนโยบายรัฐบาลทุกเรื่อง” พล.อ.เฉลิมพล กล่าว
“โอกาสของการทำเรื่องพวกนี้ทุกอย่างเป็นศูนย์หมด บนพื้นฐานที่อย่าให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างเงื่อนไขปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรง และกระทบต่อความเดือดร้อน ผมถือว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ตอบไปแล้ว อยากให้ทุกคนร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ ด้วยการขจัดเงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ให้หมดไปจากประเทศไทยและติดลบ เพราะศูนย์ก็ไม่พอ แต่การจะติดลบได้ทุกคนต้องช่วยกัน” พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าว
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ ‘รับประกัน’ ว่าการทำรัฐประหารจะไม่เกิดขึ้น
แต่ปัจจัยในยุคนี้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกำลังหลักของ ทบ. หลังมีการปรับโครงสร้างหน่วย ทบ. ใหม่ โดยเฉพาะขุมกำลังปฏิวัติเดิม ที่มีการโยกหน่วยออกนอก ทบ. ไปแล้ว ซึ่งการเกิดรัฐประหารในอนาคต ย่อมต้องได้รับ ‘ไฟเขียว’ มาแล้ว
ทั้งนี้หากดูคำตอบของ พล.อ.เฉลิมพล ที่ยกข้อกฎหมายขึ้นมา เมื่อย้อนดูโปร์ไฟล์การทำงานของ พล.อ.เฉลิมพล เติบโตมาทั้งสายบุ๋นและบู๊
โดย พล.อ.เฉลิมพล เคยเป็นเจ้ากรมยุทธการ ทบ. มาก่อน มีผลงานมีส่วนร่วมเขียน ‘แผนจักรพงษ์ภูวนาถ’ ในศึกเขาพระวิหาร เมื่อปี 2554 มาด้วย
ส่วน พล.อ.ณรงค์พันธ์ เติบโตมาจากการเป็น ‘ทหารหมวกแดง’ ร.31 รอ. เคยเป็น ผบ.หน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็ว ทบ. (RDF) ผ่านปฏิบัติการป้องกันชายแดน จ.สุรินทร์-ศรีสะเกษ เมื่อปี2554 มาด้วย
นอกจากนี้สิ่งที่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวเน้นย้ำคือเรื่อง 4 สถาบันหลัก ว่า หัวผมมีอยู่ 4 อย่าง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ประชาชน แต่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความมั่นคง 4 อย่างนี้
ส่วนทำอย่างไร พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า “ทุกอย่างนี้ ไม่บอก แต่ทำทุกอย่าง ตามอุดมการณ์กองทัพบก ตามอุดมการณ์ของตน ตั้งแต่เป็น นร.นายร้อย จปร.”
พร้อมตอบโต้ ‘ม็อบนักศึกษา’ ที่เสนอ 10 ข้อการปฏิรูปสถาบัน โดยให้ย้อนกลับไปปฏิรูปตัวเองก่อน พร้อมยกคำสอน ‘สมเด็จโตฯ’ ที่เปรียบกับ ‘กระจกหกด้าน’ ว่า “ก็เหมือนกับการปฏิรูป แต่การปฏิรูปคือ การแก้ไขปรับปรุง ดังนั้นทุกคนควรกลับมามอง และปฏิรูปตนเองก่อน เหมือนกับคำสอนของสมเด็จโตฯ ผมเป็นชาวพุทธที่นับถือสมเด็จโตฯ ท่านสอนเรื่องกระจกหกด้าน ไม่ใช่มองแต่ด้านตัวเองว่าดีและถูกต้องหมดทุกอย่าง“
ทั้ง 2 ผบ.เหล่าทัพ พล.อ.เฉลิมพล-พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่วันที่ 14 ต.ค.นี้ ว่า เป็นเรื่องของ ตร. ในการดูแลสถานการณ์ ไม่ต้องถึงมือทหารในการดูแล
นอกจากนี้มีการจับตาถึง ‘ความเป็นไปได้’ ของการชุมนุมที่มีการ ‘ปักธงค้างคืน’ อีกครั้ง ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทว่าในเดือนต.ค.นี้ มีเหตุการณ์ที่เป็น ‘การขยับ’ อย่างมี ‘นัยสำคัญ’ ที่ทำให้ถูกตีความไปต่างๆนานาด้วย
ทั้งนี้มีรายงานว่าแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมวางแผนค้าง 1 คืน โดยมีข้อเรียกร้องหลักคือ “ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก” ซึ่งอาจมีการเดินขบวนมายัง ทำเนียบฯ ด้วย อีกทั้งมีการประเมินแนวร่วมการชุมนุมที่น้ำหนักจะไปอยู่ที่ ‘ภาคประชาสังคม’ เช่น เครือข่ายสลัมสี่ภาค เป็นต้น ส่วนคนเสื้อแดงจากภาคเหนือและอีสานที่จะเข้ามา ก็เข้ามาในนามส่วนตัว ไม่ใช่นาม นปช.
ส่วนความเคลื่อนไหวอดีต 2 ผบ.เหล่าทัพ ทั้ง ‘บิ๊กแดง’ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวังและอดีต ผบ.ทบ. ได้เข้าสู่พิธีอุปสมบท ที่วัดหงส์รัตนาราม วันที่ 8ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นวัดเดียวกับ 'บิ๊กแป๊ะ’ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ซึ่งทั้งคู่เป็นเพื่อน ตท.20 แม้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ไม่จบโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ได้เทียบรุ่น ตท.20-นายร้อยตำรวจรุ่นที่ 36
ซึ่งการบวชครั้งนี้ของ พล.อ.อภิรัชต์ เปรียบเป็นการ ‘เช็ตซีโร่ตัวเอง’ ก่อนเริ่มภารกิจใหม่ด้วย ตามที่ พล.อ.อภิรัชต์ ตั้งใจไว้ รวมทั้งเคยประกาศเซ็ตซีโร่ตัวเองวันที่ 30 ก.ย. ด้วย
ส่วน พล.ต.อ.จักรทิพย์ เตรียมพร้อมลงสู่สนามการเมือง สำหรับวัดหงส์รัตนาราม ขึ้นชื่อเรื่อง ‘พิธีอาบน้ำมนต์’ โดยเป็นวัดที่มีบ่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นที่เชื่อกันในวงการทหาร-ตร. หากต้องการจะได้เลื่อนยศ-ตำแหน่ง ให้มาอาบน้ำมนต์ที่วัดแห่งนี้ เพื่อเสริมสิริมงคล
ผลัดใบโดยสมบูรณ์ !!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง