นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับทูตพาณิชย์ทั่วโลกเพื่อประเมินเป้าหมายการส่งออกปีนี้และปีหน้า โดยกระทรวงพาณิชย์มั่นใจมากว่าการส่งออกในปีนี้จะขยายตัวได้ร้อยละ 8 ตามเป้าหมาย สำหรับปีหน้า กระทรวงได้ประเมินว่าจะขยายตัวร้อยละ 8 เช่นเดียวกัน ซึ่งทูตพาณิชย์ทุกท่านจะร่วมกันผลักดันการส่งออกร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชนผ่านกลยุทธ์ Tailor Made สำหรับแต่ละตลาด ท่ามกลางความท้าทายที่จะเกิดขึ้น
รองนายกฯ กล่าวว่า “ปีนี้การส่งออกดีมาก แม้ว่าล่าสุดจะส่งสัญญาณชะลอตัว โดยปีหน้ามีความท้าทายจากสงครามการค้าที่จะเริ่มส่งผล เกิดความผันผวนการเงินโลก ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ต้นทุนน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น จึงได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์เตรียมพร้อมล่วงหน้าในการรับมือ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงมีความแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันพอสมควร และมีความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ดีมาก”
ส่วนนโยบายสำคัญจะเน้น 'กำลังคน' ในต่างประเทศและการจ้างบุคลากรท้องถิ่น ให้เหมาะสมกับสถานการณ์การค้าปัจจุบัน เพื่อเจาะตลาดเชิงลึกและขับเคลื่อนภาคการส่งออกในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดศักยภาพ อาทิ ตลาดแอฟริกา อินเดีย และจีน รวมทั้งเน้นย้ำให้การใช้เงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์เชิงยุทธศาสตร์
อีกประเด็นที่ได้สั่งการ คือใช้โอกาสจากสงครามการค้า เช่น การส่งเสริมสินค้าใหม่ๆ ที่ไทยมีศักยภาพ เช่นในภูมิภาคแอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ รวมทั้งการจัด Roadshow ไปเจาะตลาดสำคัญๆ ที่ยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก ได้แก่ จีน เกาหลีไต้ และไต้หวัน ร่วมกับ BOI อย่างใกล้ชิดเพื่อส่งเสริมทั้งมิติการค้าและการลงทุน แสวงหาโอกาสต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย
สำหรับตลาดจีนและฮ่องกง ได้มอบหมายให้ รมว. สนธิรัตน์ เป็นหัวหน้าทีมในการเจาะตลาด โดยเฉพาะกลุ่ม PPRD (Pan Pearl River Delta) ใช้ประโยชน์ความสัมพันธ์แนบแน่นกับฮ่องกง ซึ่งเป็นผู้นำของ Belt Road Initiative เชื่อมต่อการค้าการลงทุน เร่งกระชับความสัมพันธ์กับผู้บริหารแต่ละมณฑลอาเซียนซึ่งเป็นตลาดหลักของไทย มีโอกาสขยายตัวอีกมาก
ส่วนชนชั้นกลางมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น นิยมแบรนด์ไทย และชอบการท่องเที่ยวเมืองไทย จึงได้ฝากสมาคมธนาคารไทย ช่วยพิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือ SMEs ไทยให้ขยายตลาดเจาะกลุ่มเหล่านี้เป็นพิเศษ โดยให้ร่วมมือกับ EXIM Bank และ SME Bank ตลอดจนขอให้ไทยคงการเป็นบทบาทผู้นำกลุ่ม CLMVT โดยการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุม CLMVT Forum อย่างต่อเนื่อง
ในส่วนตลาดเดิมอย่างภูมิภาคยุโรป ที่มีข้อกำหนดต่างๆ ที่เข้มงวด ทำให้เกิดการยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยประกอบกับโอกาสจากการทำ BREXIT ในตลาดอังกฤษ ที่จะสามารถกระชับความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคีต่อไปได้ และได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของระบบ BIG DATA ซึ่งองค์ความรู้เชิงลึกจากทูตพาณิชย์มีประโยชน์มาก ต้องนำมาเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ ของกระทรวง เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ใช้ประโยชน์ตามความต้องการได้ทันที และรองรับการค้าออนไลน์ในอนาคต ซึ่งในขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างดำเนินการ
นอกจากนี้ ได้ฝากภาคเอกชนให้เร่งขยายการลงทุนในกิจการค้าปลีก Modern Trade รูปแบบต่างๆ เพื่อเป็นช่องทางกระจายสินค้าไทย โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ และอาเซียน ซึ่งสินค้าไทยมีศักยภาพมาก รวมทั้ง ขอให้เข้ามาร่วมให้ความคิดเห็นในการประชุมเวทีต่างๆ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีทุกภาคส่วน สุดท้ายได้สั่งการพาณิชย์จังหวัดผลักดัน Local Economy โดยการจัดกิจกรรมทางการค้าใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมสินค้าท้องถิ่น ให้สามารถออกสู่ตลาดสากลได้