นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมของผู้สูงวัย สถิติของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2559 ประเทศไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 9.9 ล้านกว่าคน คิดเป็นร้อยละ 15 ของประชากรทั้งประเทศที่มี 65.9 ล้านคน ปัญหาที่ตามมาและมักพบในสังคมผู้สูงอายุมากกว่ากลุ่มวัยอื่นๆ คือ ภาวะสมองเสื่อม (dementia) โดยผู้ป่วยจะมีการเสื่อมถอยความสามารถของสมองในหลายๆ ด้าน เช่น สูญเสียความจำ สมาธิ ความสามารถทางสติปัญญาลดลง คิดและจำเรื่องที่เป็นปัจจุบันไม่ได้ มีอาการหลงลืม ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งอาการหลงลืมนั้นสามารถเกิดขึ้นในคนทั่วไปที่มีความเครียดวิตกกังวลหรือเร่งรีบได้ เรียกว่าสมองเสื่อมเทียม อาการจะเกิดขึ้นชั่วคราวแล้วจะค่อยๆ นึกได้ในภายหลัง แต่ในผู้ที่สมองเสื่อมจะจำไม่ได้เลย ผลสำรวจของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข โดยการตรวจร่างกายครั้งล่าสุดในปี 2557 พบผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีภาวะสมองเสื่อมร้อยละ 8.1 คาดว่าขณะนี้มีประมาณ 8 แสนกว่าคนทั่วประเทศ พบในผู้หญิงมากว่าผู้ชาย อายุยิ่งมากยิ่งพบมาก
อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวว่า ปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยสมองเสื่อมนอกจากเป็นเรื่องของความจำแล้ว ยังพบว่าร้อยละ 90 หรือประมาณ 7 แสนกว่าคน มีปัญหาพฤติกรรมและจิตใจร่วมด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงขณะที่ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงวัย หากไม่มีการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ที่ยังไม่เข้าสู่วัยสูงอายุ คาดว่าจำนวนผู้ป่วยโรคนี้อาจเพิ่มขึ้นนับล้านคน และมีปัญหาพฤติกรรมและจิตใจเพิ่มขึ้นนับแสนคน เป็นเรื่องที่บั่นทอนสุขภาพจิตและเป็นภาระให้แก่ผู้ดูแลและครอบครัวเป็นอันมาก ประการสำคัญหากผู้ดูแลขาดความรู้ความเข้าใจในอาการของผู้ป่วย ผู้ป่วยบางคนอาจถูกทารุณกรรมหรือถูกทอดทิ้งได้ ทั้งนี้มอบหมายให้โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นศูนย์เชี่ยวชาญเรื่องโรคจิตเวชในผู้สูงอายุของกรมสุขภาพจิต เร่งให้ความรู้ความเข้าใจประชาชนโดยเฉพาะครอบครัวที่มีผู้สูงอายุมีภาวะสมองเสื่อมในขณะนี้
ด้าน นพ.จุมภฎ พรมสีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ในแต่ละปีมีผู้ป่วยสมองเสื่อมเข้ารักษาที่โรงพยาบาลประมาณ 500 คน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยพบว่าเกือบทุกคนจะมีอาการผิดปกติทางพฤติกรรมและจิตใจอย่างน้อย 1 อาการร่วมด้วย ที่พบบ่อย 9 อาการได้แก่ 1.เฉยเมยไม่สนใจสิ่งรอบตัว พบได้ร้อยละ 70 , 2.ภาวะซึมเศร้าพบได้ร้อยละ 40-50 ,3.ปัญหาด้านการกินร้อยละ 40-50 ,4.ปัญหาด้านการนอนร้อยละ 30-50 , 5.อารมณ์หงุดหงิด โกรธง่ายร้อยละ 40 ,6.อาการหลงผิด ร้อยละ 30-40 ,7.ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจพฤติกรรมได้ ร้อยละ 30-40 , 8.มีพฤติกรรมแปลกๆ ทำอะไรซ้ำๆ เช่น ผุดลุกผุดนั่ง สะสมของในบ้าน พบร้อยละ 30-40 และ 9.หูแว่ว ประสาทหลอน เช่น เห็นผี พบได้ร้อยละ 20-30 หากประชาชนพบผู้ป่วยสมองเสื่อมในบ้านมีอาการที่กล่าวมา ควรพาไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง
นพ.จุมภฎ กล่าวว่า ผู้ที่ต้องดูแลผู้สูงวัยที่มีภาวะสมองเสื่อม ขอแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ควรทำความเข้าใจกับภาวะสมองเสื่อมให้ดีเพื่อที่จะสามารถรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม 2.แก้ไขอาการและพฤติกรรมที่เป็นปัญหามากที่สุดก่อน เนื่องจากการแก้ปัญหาหลายอย่างพร้อมกันอาจทำได้ยาก 3.พยายามทำจิตใจให้สดใส และพักผ่อนให้เพียงพอ 4. อย่ายึดติดกับความถูกต้องทั้งหมด ควรยืดหยุ่น เช่น ถ้าผู้สูงอายุต้องการจะสวมหมวกเวลานอน ก็ไม่ควรห้าม เนื่องจากไม่ได้เป็นสิ่งที่อันตราย 5. พยายามจัดรูปแบบการดูแลที่สม่ำเสมอ ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพื่อให้ผู้สูงวัยเรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อย 6. พยายามพูดสื่อสารกับผู้สูงวัยเป็นประจำ อธิบายสั้นๆ ว่ากำลังทำอะไรทีละขั้นตอน 7. มีรูปของผู้ป่วยที่ถ่ายไว้ล่าสุดเพื่อใช้ตามกรณีผู้ป่วยสูญหาย ควรจัดทำสร้อยคอที่มีป้ายถาวรบอกว่าเป็นผู้สูงวัยมีปัญหาด้านความจำ และระบุหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกลับ 8. พยายามให้ผู้สูงวัยได้ทำกิจกรรมต่างๆบ้าง เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและ ให้รู้สึกว่าชีวิตยังมีความหมายและมีส่วนร่วมในครอบครัว
ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุสมองเสื่อมเกิดปัญหาพฤติกรรมและจิตใจ อาจเกิดมาจากการมีพยาธิสภาพบางอย่างเกิดในสมองผู้ป่วย การเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาท หรือเกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารถึงสิ่งที่ตนต้องการได้ เช่น หิว เจ็บปวด กลัว เครียด เป็นต้น รวมทั้งอาจเกิดมาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น สภาพอากาศร้อน เสียงดัง ผู้คนพลุกพล่านรบกวน แสงสว่างไม่พอ เป็นต้น