พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงความคืบหน้า การแก้กฏหมายกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ ว่าขณะนี้กฏหมายกัญชา ส่วนหนึ่งพิจารณาอยู่ที่ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ขณะที่รัฐบาลก็รับมาพิจารณาและมอบหมายให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข ไปพิจารณาปลดล็อก เพื่อนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ แต่ทั้งนี้ก็คำนึงว่าหากมีการปลดล็อกทางกฏหมายมากเกินไป ก็จะเกิดปัญหาตามมา เพราะประเทศไทยจำเป็นท่ีจะต้องเดินไปทีละขั้น จะทำสิ่งไหนต้องไม่เป็นไปอย่างระมัดระวัง แต่ยืนยันว่าสิ่งไหนเป็นประโยชน์ในการรักษาพยาบาลหรือสาธารณสุขก็จะอยู่ในแผนมีบท การปฏิรูปสาธารณสุขไทย
ด้าน พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า สำหรับความก้าวหน้าในการใช้กัญชาเพื่อทำทางการแพทย์ ว่าเมื่อช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ส่งร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยยาเสพติด เข้าสู่การพิจารณาของ สนช. และ สนช. ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาแล้ว และมีความเห็นว่า การที่ใช้ประโยชน์กัญชาควรที่จะแยกออกมาเป็นพระราชบัญญัติเฉพาะ ซึ่งจะมีไม่กี่มาตรา ดังนั้น สนช.จะได้มีการยกร่างขึ้นมา
ส่วนกระทรวงยุติธรรม ร่วมกับกระทรวงสาธารณะสุข ได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อจัดทำข้อมูลทั้งด้านการวิจัยและเพื่อการใช้ประโยชน์ในการนำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาภูมิปัญญาชาวบ้าน ได้ใช้กัญชารักษาโรค ขณะที่ต่างประเทศได้ใช้กัญชาในการรักษาโรคและได้ผลสำเร็จ ซึ่งนำกัญชาไปสกัดได้สารที่เรียกว่าออย สามารถนำมาผสมสูตรต่างๆ เพื่อมารักษาโรค ได้ผลเกินร้อยละ 70 เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคชักกระตุก พากินสัน โรคหืดหอบ และการรักษามะเร็ง ซึ่งทางนักวิจัยของไทยได้ศึกษาอย่างน้อยใน 4สถาบัน ในไทยแล้ว และยังมีกลุ่มวิจัยจำนวนหนึ่งได้ร่วมศึกษาเช่นกัน โดยจะต้องปฏิบัติตามกฏหมายของสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยจะต้องมีการดูแลทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง อย่างใกล้ชิด และมีการรับรองจาก อย.
ขณะที่ผู้ที่เข้ารักษาต้องสมัครใจและมีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ผลประโยชน์ที่จะได้รับมีทั้งเรื่องของการลดค่าใช้จ่าย การนำเข้ายาจากต่างประเทศ รวมถึงเป็นธุรกิจ ที่ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้ ขณะที่ผู้ปลูกกัญชาก็ต้องเข้าสู่ระบบ ซึ่งจะเกิดเป็นห่วงโซ่ ในด้านนี้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม สนช. เตรียมพิจารณากฏหมายกัญชาในวันที่ 9 พ.ย. 2561 และจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. 13 พ.ย.นี้