ช่วงก่อร่างสร้างฐาน-ตอกเสาเข็ม 'เฮียกวง-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์' รองนายกรัฐมนตรี สวมบทสถาปนิกรับหน้าเสื่อต่อยอดอำนาจให้ 'บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา' นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม จาก "รัฐบาล คสช." แปลงร่างเป็น "รัฐบาล-เลือกตั้ง"
เมื่อมีโจทย์ว่า "พล.อ.ประยุทธ์" ต้องนั่งเก้าอี้นายกฯ แต่บ้านที่จะสร้างขึ้นต้องปราศจาก "ทหาร" เพื่อหลบกระแส "พรรคทหาร" ทำให้ "สมคิด" ระดมทีมเทคโนเเครต ที่ "พล.อ.ประยุทธ์" แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามคำแนะนำของ "สมคิด" มาช่วยกันสร้างบ้าน
"สมคิด" ไม่ใช่ "นักเลงการเมือง" ที่จะมาเปิดหน้าชก-เปิดหน้าสู้ จึงปรับบทบาทของตัวเองอยู่ในสถานะ "ที่พึ่งทางใจ" ของ "กลุ่ม 4 กุมาร" ประกอบด้วย อุตตม สาวนายน รมว.คลัง สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
"สมคิด" รู้ดีว่าลำพัง "4 กุมาร" ไม่สามารถทำภารกิจส่ง "พล.อ.ประยุทธ์" นั่งเก้าอี้นายกฯหลังการเลือกตั้งได้อย่างแน่นอน จึงต้องทาบทาม "นักการเมือง-นักเลือกตั้ง" มืออาชีพ เข้าร่วมด้วยช่วยกัน สายหนึ่งก่อกำเนิด "กลุ่มสามมิตร" สายหนึ่งทามทามกลุ่ม-ก๊ก-ก๊วน ทั่วประเทศ
"สมคิด" ตอบคำถามความสัมพันธ์กับ "กลุ่มสามมิตร" ในช่วงตั้งไข่สร้างพรรคพลังประชารัฐว่า "ทุกคนเป็นเพื่อนกันทั้งนั้น และไม่ใช่แค่สามมิตร เป็นมวลหมู่มหามิตรเลย เป็นเพื่อนฝูงกันทั้งนั้น วงการเมืองคือเพื่อนๆ กัน"
เมื่อพรรคพลังประชารัฐ เป็นการรวมกันของ "มวลหมู่มหามิตร" อย่างที่ "สมคิด" เปรียบเปรย การควบคุม "มวลหมู่มหามิตร" ให้อยู่ในกรอบเป็นโจทย์ยากของ "4กุมาร" ทุกครั้งที่ "มวลหมู่มหามิตร" เปิดศึกแย่งชามข้าว ไม่ใช่ "4กุมาร" ที่จะสั่งการให้หยุดเคลื่อนไหว แต่เป็น "2 ลุง" ที่มีอำนาจเหนือ "4กุมาร"
"มวลหมู่มหามิตร" ไม่เชื่อคำสั่งของ "4กุมาร" จึงเปิดช่องให้ 'ลุงป้อม' พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ' รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ ที่ไม่เคยปลื้ม "สมคิด" เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้จังหวะเลื่อยขาเก้าอี้ "สมคิด-4กุมาร" จนสามารถยึดพรรค พปชร.มา "บัญชาเกม" ทั้งหมดด้วยตัวเองได้
แม้ "4กุมาร" ยืนยันว่าจะไม่ตั้งพรรค-ตั้งกลุ่มการเมือง พูดย้ำให้ขีดเส้นใต้เอาไว้ แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่ "สมคิด" ไม่คิดเรื่องการเมือง เพราะตั้งแต่เลิกรา-แยกวงกับ "พรรคไทยรักไทย" (ทรท.) "สมคิด" จรยุทธ์แฝงกายอยู่ในวงการเมืองมาตลอด
ขึ้นอยู่กับจังหวะโอกาสว่า เวลาไหน "สมคิด" จะปรากฎตัวหน้าฉาก เวลาไหนที่ "สมคิด" จะแอบอยู่หลังฉากการเมือง
ภายหลังแยกตัวออกจาก "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2550 "สมคิด" หนีการเมืองร้อน-การเมืองม็อบ เชื่อมสายสัมพันธ์ไปยังหมู่มิตร ก่อตั้ง "กลุ่มธรรมาธิปไตย" พยายามรวบรวม "คนอกหัก" จากค่ายไทยรักไทย มาร่วมงาน-ร่วมขับเคลื่อนกลุ่ม สะสมนักคิด-นักธุรกิจ เดินสายกลาง รอส้มหล่นเผื่อจะมีใครเรียกใช้บริการ
"กลุ่มธรรมาธิปไตย" มีทั้ง "พิมล ศรีวิกรม์" และ "เอนก เหล่าธรรมทัศน์" คอยนำแสดงแนวคิด-จุดยืน รวมทั้งพบปะนักการเมือง โดยใช้โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล อันลือชื่อเป็นสถานที่ดีลการเมือง
ผ่านไปสักระยะ "กลุ่มธรรมาธิปไตย" เริ่มเป็นที่รู้จัก "สมคิด" คิดการใหญ่ยื่นดีลไปยัง "สมศักดิ์ เทพสุทิน" ซึ่งขณะนั้นเป็นแกนนำกลุ่มมัชฌิมา มี ส.ส. อยู่ในสังกัดจำนวนหนึ่ง แต่มีปัญหาเรื่อง "ทุน" เพราะ "สมคิด" เองไม่ใช่นักการเมืองสายเปย์ ยากที่จะควักกระเป๋าจ่าย
"สมศักดิ์" จึงหันไปสนับสนุน "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย เพราะ "ประชัย" อยากลงสนามการเมือง และมีเงินเปย์มากกว่า "สมคิด"
ด้าน "สมคิด" กลับไปโผล่ร่วมวง "ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์-พิจิตต-รัตตกุล-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ก่อตั้งพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แรงขับเคลื่อนทางการเมืองแผ่วลง สุดท้ายก็ต้องแยกวง
"สมคิด" จึงต้องจำศีลทางการเมือง แทบจะไม่ปรากฎตัวร่วมวงพรรคการเมืองใด แต่ยังแฝงกายนัดคุยการเมืองร่วมกับวง นักธุรกิจ-นักลงทุน รวมถึงบิ๊กเนมแวดวงทหาร
หลังรัฐประหาร 2557 "สมคิด" มีชื่อโผล่เป็นที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก่อนที่จะเข้ามานั่งเก้าอี้ "หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ" แทนที่ 'หม่อมอุ๋ย-ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล' พร้อมนำทีมเทคโนแครตเข้ามาบริหารงานเกือบ 5 ปี
หลังจากนี้จับตาความเคลื่อนไหวของ "สมคิด+4 กุมาร" ว่าจะเดินหมากในทางใด แม้จะประกาศว่าจะไม่ตั้ง กลุ่มการเมือง-พรรคการเมือง แต่ "สมคิด" ผู้ไม่เคยห่างเหินจากการเมือง อาจจะต้องตระเตรียมที่ทาง เพื่อให้มีที่ยืนทางการเมืองต่อไป
อยู่ที่ว่า "สมคิด+4กุมาร" จะขับเคลื่อนการเมืองในอุดมคติได้สำเร็จหรือไม่ เวลานี้ "สมคิด+4กุมาร" เก็บงำความแค้นดั่ง "ไฟสุมทรวงทะลวงอกช้ำ" รอวันเช็กบิลชำระแค้น
เป้าหมายหลักที่ต้องชำระแค้นไม่ใช่ "ลุงตู่" แต่อยู่ที่ "ลุงป้อม" คู่แค้นโดยตรงของ "สมคิด"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง