ก้องผันตัวเองจากผู้บริหารแบรนด์เอทัส โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ ซอยร่วมฤดี มาควบตำแหน่งคนเบื้องหลังมหกรรมหนังสือนานาชาติระดับโลก ‘บิ๊ก แบด วูล์ฟ’ (Big Bad Wolf) ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ในประเทศไทย โดยนำทัพหนังสือภาษาอังกฤษจากหลายสำนักพิมพ์มาจำหน่ายให้นักอ่านเลือกสรรมาเป็นเจ้าของด้วยราคาลดถึง 60 – 80 เปอร์เซ็นต์ และเปิดขายกันแบบนอนสตอป 24 ชั่วโมง อยากรู้ว่าเขาทำได้อย่างไร ‘วอยซ์ ออนไลน์’ มีคำตอบ
ผู้บริหารหนุ่มเปิดเผยว่า ตัวเองชื่นชอบการอ่านหนังสือเป็นชีวิต แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกหนังสือรถยนต์ หนังสือกราฟิก ไม่เจาะจงทางนิยายมากเท่าไหร่ และสมัยมัธยมนิยมเดินเข้าห้องสมุดไปอ่านหนังสือนอกเวลา อย่างน้อยต้องมีสัปดาห์ละ 1 เล่ม ทำติดต่อกันอยู่นานหลายปีจนชิน ทว่าพอเติบโตขึ้นชีวิตเริ่มห่างเหินจากหนังสือภาษาไทย เพราะต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ
“ความจริงช่วงแรกผมไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมากนัก แต่ทุกครั้งที่ได้เข้าร้านหนังสือ ผมจะเริ่มต้นสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองด้วยการมองหานิตยสารที่ชื่นชอบ ถัดมาจะพยายามอ่านจากข้อความบรรยายภาพสั้นๆ และค้นหาความหมายของคำศัพท์ต่างๆ เพียงเท่านี้ผมก็ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว”
ความจริง บิ๊ก แบด วูล์ฟ เป็นมหกรรมหนังสือประจำปี ที่จัดขึ้นในประเทศมาเลเซียตั้งแต่ปี 2552 ปัจจุบันเติบโตจนกลายเป็นงานหนังสือที่ใหญ่สุดในโลกไปแล้ว โดยภาพบรรยากาศการจัดงาน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ที่นักอ่านเข้ามาจับจ่ายหนังสือไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน เป็นแรงบันดาลใจให้ก้องคิดว่า ต้องจัดมหกรรมหนังสือบิ๊ก แบด วูล์ฟ ในเมืองไทยให้สำเร็จ
“ผมได้สัมผัสบรรยากาศ และเห็นพฤติกรรมของนักอ่าน ทุกคนมีใบหน้ายิ้มแย้ม ต่างคนก็ลากตะกร้ากันไปคนละทางตามความสนใจ แล้วมาเจอกันที่แคชเชียร์ พ่อแม่เห็นลูกสนใจก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ เพราะด้วยราคามันสามารถซื้อได้ ไม่ทำให้กระเป๋าฉีก จากภาพความสำเร็จในประเทศมาเลเซียส่งผลให้ผมคิดว่า มันเป็นเหมือนหน้าที่ที่ควรเอางานมาจัดในเมืองไทยให้ได้
“การกลับมาของมหกรรมหนังสือนานาชาติ บิ๊ก แบด วูล์ฟ ที่กรุงเทพฯ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แสดงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ผมปรารถนาจะนำเสนอหนังสือที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพราะเชื่อว่าทุกคนควรมีโอกาสอ่านหนังสือภาษาอังกฤษใหม่ๆ และมีคุณภาพ”
ก้องก่อตั้งบริษัท เรดดี้ ทู รี๊ด (Ready 2 Read) เพราะต้องการเชื่อมหนังสือ และสื่อภาษาอังกฤษสู่นักอ่านไทย เพราะปัญหาการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษอยู่ที่ความหวาดกลัวเรื่องราคาแพง กลัวอ่านไม่รู้เรื่อง เขาเลยแก้ด้วยการนำหนังสือคุณภาพสูงมาจำหน่ายในราคาต่ำ เพื่อยกระดับทักษะภาษาอังกฤษ พร้อมกับปลุกกระแสการอ่านหนังสือในประเทศไทย จึงเกิดเป็นโปรเจกต์การจำหน่ายหนังสือภาษาอังกฤษใหญ่สุดในโลก ซึ่งได้แอนดรู แย๊ป (Mr. Andrew Yap) ผู้ก่อตั้ง บิ๊ก แบด วูล์ฟ เป็นหุ้นส่วน
หลักๆ แล้วการทำงานของพวกเขาคือ ออกเดินทางตระเวนไปตามสำนักพิมพ์ในยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย เพื่อหาหนังสือภาษาอังกฤษคุณภาพดีทุกหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็นชีวประวัติ นวนิยาย หนังสือเด็ก วรรณกรรม คู่มือทำอาหาร ประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาพถ่าย ฯลฯ
“บิ๊ก แบด วูล์ฟ เชื่อมั่นในการทำให้หนังสือเป็นสื่อที่ผู้คนทุกระดับสามารถเข้าถึงได้ ผ่านโปรแกรม ‘เร๊ด รี๊ดเดอร์ฮู๊ด’ (Red Readerhood) โดยหนังสือจะถูกส่งมอบให้กับมูลนิธิความหวัง (Hope Foundation) เพื่อแบ่งปันความสุข และสร้างประโยชน์ให้กับน้องๆ นักเรียนอายุ 4-15 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน ใน 7 โรงเรียน ของกรุงเทพฯ”
นักอ่านทุกคนสามารถสนับสนุนด้วยการเลือกซื้อหนังสือจากมุมเร๊ด รี๊ดเดอร์ฮู๊ด บริเวณทางออก เพื่อบริจาคแก่น้องๆ นักเรียน โดยหนังสือที่วางจำหน่ายล้วนคัดสรรให้เหมาะสมกับผู้อ่านวัยเรียนทั้งสิ้น
หลายคงคงทราบว่า หนังสือภาษาอังกฤษทุกเล่มของบิ๊ก แบด วูล์ฟ นำมาลดราคาอย่างน้อย 60 เปอร์เซ็น ส่งผลให้บางคนคิดว่าเป็นหนังสือมือสอง แต่ความจริงคือ ‘ไม่ใช่’ ทุกเล่มเป็นหนังสือใหม่เอี่ยมที่ยังอยู่บนเชลฟ์ รวมไปถึงหนังสือหายากของเหล่านักสะสม โดยทีมงานกว้านซื้อมาจากโกดังของสำนักพิมพ์หลายประเทศทั่วโลก
“ความจริงถ้าหนังสือจำนวน 2 ล้านเล่ม ผมขายราคาเพิ่มขึ้น 5 บาท 10 บาท ผมก็คงจะรวยขึ้นอีก 10 ล้าน 20 ล้าน แต่นั่นไม่ใช่วัตถุประสงค์ ดังนั้นอย่ามาขอส่วนลดเพิ่มอีกเลย เพราะผมลดสุดตัวตั้งแต่แรกแล้ว และทุกคนก็จะได้รับส่วนลดเท่าเทียมกัน สุดท้ายผมหวังให้ยอดขายเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายคงที่เท่านั้นพอ”
ส่วนเรื่องการตลาดชายหนุ่มผู้อยูเบื้องหลังรังหมาป่าบอกว่า เน้นการทำบนสื่อออนไลน์ เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มผู้อ่านคนไทยส่วนใหญ่เสพสื่อบนโซเชียลมีเดียค่อนข้างมาก หวังจะได้รับอานิสงส์จากการบอกต่อ เพื่อเป็นพลังสำหรับการจัดงานในปีถัดๆ ไป
สำหรับมหกรรมหนังสือ ‘บิ๊ก แบด วูล์ฟ’ (Big Bad Wolf) ประจำปี 2018 จัดที่อาคารอิมแพ็คฟอรั่ม ฮอลล์ 9 เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 10 – 20 สิงหาคม 2561 ต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู