ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวในรายการสัมภาษณ์ Axios ที่ออกอากาศทางช่อง HBO ว่า เขาให้คำมั่นว่าจะยกเลิกการให้สัญชาติแก่เด็กทุกคนที่เกิดจากบุคคลที่ไม่ได้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ และเด็กที่เกิดจากผู้อพยพที่ผิดกฎหมายที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งคำกล่าวดังกล่าวขัดกับรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ ที่บัญญัติไว้ว่า "ประชาชนทุกคนที่เกิดหรือแปลงสัญชาติในสหรัฐฯ และอยู่ภายใต้ขอบเขตทางกฎหมายของสหรัฐฯ ถือเป็นพลเมืองของสหรัฐฯ และของรัฐที่ประชาชนผู้นั้นอาศัยอยู่"
นอกจากนี้ทรัมป์ยังกล่าวว่า "สหรัฐฯ คือประเทศเดียวในโลกที่ยังให้สิทธิที่ว่านี้ และเด็กเหล่านี้ได้กลายเป็นพลเมืองสหรัฐฯ จากสิทธิประโยชน์ข้อดังกล่าวนี้ตลอด 85 ปีที่ผ่านมา...มันเป็นเรื่องที่น่าขบขำอย่างยิ่ง และสิทธิก็ควรจบลง"
ทั้งนี้ คำกล่าวดังกล่าวเป็นความเข้าใจที่ผิดของประธานาธิบดีทรัมป์ เนื่องจากอีกหลายประเทศทั่วโลกรวมไปถึงแคนาดา เม็กซิโกและบราซิลต่างให้สัญชาติแก่บุคคลที่เกิดในประเทศเช่นกัน แต่ก็มีหลายประเทศ เช่น อังกฤษ และออสเตรเลียที่ยกเลิกกฎหมายดังกล่าวแล้วเช่นกัน
ประธานาธิบดีทรัมป์ยังกล่าวอีกว่า "ตอนนี้ตนกำลังหารือเรื่องนี้กับที่ปรึกษาทางกฎหมายซึ่งมีการแจ้งว่า สามารถยกเลิกกฎหมายนี้ได้โดยไม่ต้องแก้ไขบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯได้"
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเรื่องการยกเลิกการให้สัญชาติแก่บุคคลที่เกิดจากผู้อพยพนี้ ความเห็นจากฝ่ายรีพลับริกันเองแตกออกเป็นสองส่วน
'ลินเซด์ กราแฮม' ส.ว.จากรีพลับริกันกล่าวว่า เขาพร้อมสนับสนุนนโยบายดังกล่าวของทรัมป์อย่างเต็มที่ ขณะที่ 'พอล ไรอัน' ส.ส.จากรีพลับริกัน ผู้ซึ่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ กล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถที่จะยกเลิกสิทธิการให้สัญชาตินี้ได้ด้วยคำสั่งพิเศษจากประธานาธิบดีนี้
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวจะต้องผ่านการรับรองของรัฐสภาสหรัฐฯ ก่อนจะมีการประกาศบังคับใช้ และถ้าหากนโยบายดังกล่าวผ่านสภาฯ ก็อาจจะต้องเข้าสู่กระบวนการในศาลสูงของสหรัฐฯ เพื่อยืนยันการบังคับใช้นโยบายดังกล่าวว่า ขัดกับหลักรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ หรือไม่
รายงานของสถาบันนโยบายการอพยพเข้าเมืองระบุว่า การยกเลิกการให้สิทธิสัญชาติความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ จะนำไปสู่การเพิ่มจำนวนของบุคคลไร้สัญชาติในสหรัฐฯ มากขึ้น โดยภายในปี 2050 จะมีประชากรไร้สัญชาติในสหรัฐฯ จาก 11 ล้านคน เป็น 16 ล้านคน
ที่มา CNN / The guardian
ข่าวที่เกี่ยวข้อง