เวลา 10.30 น. นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) พร้อมด้วยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งพรรค นายพิชัย นริพทะพันธุ์ นพ.เหวงโตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายนิคม ไวยรัชพานิช ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เดินทางเข้ามายังที่ทำการพรรคเพื่อร่วมประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค โดยเป็นการหารือก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมพิจารณาจะรับคำร้องของ กกต.ขอให้ศาลมีคำสั่งยุบพรรค ทษช.หรือไม่ในช่วงบ่ายวันนี้
เวลา 11.25 น. นายจาตุรนต์ ฉายแสง แถลงภายหลังประชุมว่า พรรคเผชิญกับปัญหาเราเป็นสมาชิกพรรคร่วมแก้ปัญหาโดยพรรคต้องดำเนินเต็มความสามารถถึงที่สุด โดยการหารือทั้งก่อนหน้าและล่าสุดพบว่าเหตุการณ์จะมีการดำเนินการยุบพรรค จากการติดตามสถานการณ์หลังพรรคได้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี เมื่อสถานการณ์พัฒนาจน กกต.มีมติให้ยุบพรรค ทษช. และศาลกำลังพิจารณาจะรับคำร้องไว้วินิจฉัยหรือไม่
ทั้งนี้ ข้อกล่าวหาที่ กกต.ได้ใช้ให้ยุบพรรคเป็นข้อหา "ปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย" ยืนยันคณะกรรมการบริหารพรรคมีเจตนาดีดำเนินการโดยบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อเรื่องกำลังพิจารณาในศาลรัฐธรรมนูญ จึงเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการจากนี้เป็นกระบวนการของศาลทาง ทษช. จะงดกิจกรรมที่พบกับประชาชนจำนวนมากโดยเฉพาะการปราศรัยใหญ่จะยุติไว้ก่อน เพื่อให้ทุกอย่างไม่มีปัญหาแทรกซ้อน ส่วนการดำเนินการของศาลรัฐธรรมนูญ หากมีช่องทางที่ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ใจของกรรมการบริหารพรรคก็พร้อมจะไปช่วยและร่วมแก้ปัญหากับพรรค ทษช. ไปจนถึงที่สุด
นายจาตุรนต์ ระบุว่า ส่วนผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกคนยังมีสิทธิที่จะพบกับประชาชนการพบปะเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นเรื่องทำได้และเป็นเรื่องดีที่พรรคการเมืองจะผูกพันกับประชาชน แต่การปราศรัยขนาดใหญ่จะงดไปก่อน
หากดูจากข้อกล่าวหาพบว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตนเห็นว่าการดำเนินปราศรัยพบกับคนจำนวนมากไม่น่าจะเป็นผลดี การที่ ทษช.ได้รณรงค์ชี้แจงนโยบายกับประชาชนที่จะแก้ปัญหาให้ประเทศชาติ ก็น่าจะเป็นความเข้าใจต่อประชาชน การหยุดพรรคหยุดปราศรัยไม่น่ามีผลเสียหายอะไร และระหว่างนี้จะชี้แจงในกระบวนการยุติธรรม และการชี้แจงจะเกิดขึ้นอีกครั้งหลังศาลตัดสิน
ส่วนเหตุการณ์วันที่ 8 ก.พ. นั้น นายจาตุรนต์ ระบุว่า ตนจะชี้แจงเท่าที่ทำได้เต็มความสามารถ โดยการพูดคุยกับกรรมการบริหารหลายคนหลังวันที่ 8 ก.พ. ทุกคนมีเจตนาดีบริสุทธิ์ใจ ตรงกันกับที่กรรมการบริหารพรรคได้ชี้แจงต่อสาธารณชน
นายจาตุรนต์ ยืนยันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีรอยร้าวอะไรภายในพรรคหลังเกิดเหตุการณ์ที่ตนและนายณัฐวุฒิหายตัวไป ส่วนการดำเนินการจากนั้นเป็นเรื่องที่กรรมการบริหารที่ต้องหาทนายและขอใช้สิทธิต่างๆ ในอำนาจหน้าที่ ส่วนการพูดเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2561 ที่ตนพูดในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้เลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตย เป็นการพูดเผื่อแสดงไว้ แต่ขณะนี้จะพูดอะไรชัดเจนมากก็ไม่ได้เพราะยังไม่ทราบผลพิจารณาของศาล โดยหลังจากนี้ตนจะงดการให้ความเห็นนอกศาล
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ระบุว่า ตัวผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคใน 100 กว่าเขตยังมีสถานะผู้สมัครและยังทำงานในพื้นที่ ทางผู้สมัครจะดำเนินการกันไป ส่วนการปราศรัยใหญ่หรือพบประชาชนจำนวนมาก ตรงนี้อยากให้พรรคมีสมาธิในการติดตามสถานการณ์ของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อรอผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
“เจตนาเพื่อนำบ้านเมืองสู่ประชาธิปไตยวิกฤตมาตลอด 5 ปีความรับผิดชอบนี้ยังอยู่ ขอยืนหยัดจะอยู่กับพรรคจนกว่าจะได้ข้อยุติ ไม่ว่าจะหาเสียงเลือกตั้งได้หรือแนวทางอื่น” นายณัฐวุฒิ ระบุ
เมื่อถามว่าคิดผิดหรือไม่ที่ออกจากพรรคเพื่อไทย นายณัฐวุฒิ ย้ำว่า การเดินหน้าในวันนี้เพื่อนำพาบ้านเมืองกลับสู่ประชาธิปไตยต่อสู้กติกานี้ให้ประชาธิปไตยพื้นฐานปากท้อง ซึ่งพูดตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา ทษช. เป็นตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญนี้และไม่สามารถย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงได้
ขณะที่นายจาตุรนต์ ระบุว่า ตนได้ทำทุกอย่างที่ตั้งใจเต็มความสามารถได้เป็นผลให้ประชาชนร่วมสนับสนุนกับสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว จึงไม่มีอะไรรู้สึกเสียดาย และงานหลักจากนี้ต้องรับมือกับกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ
นายณัฐวุฒิ ย้ำว่า การตัดสินใจของพรรค ตนไม่ได้ก้าวล่วงมติกรรมการบริหาร บทบาทที่ตนได้รับมอบหมายน่าจะสอดคล้องสถานการณ์เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย
เมื่อถามถึงขณะนี้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยมีโอกาสชนะหรือไม่ นายณัฐวุฒิ ระบุว่า ที่ผ่านมามีหลายพรรคประกาศจุดยืนนี้ จากการลงพื้นที่ได้ข้อสรุปแล้วประชาชนจะเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ ไม่ว่าจะเกิดผลต่อ ทษช.อย่างไร จะไม่มีผลต่อการเลือกตั้ง หาก ทษช.ไม่อยู่วันลงคะแนน ก็เชื่อว่าประชาชนจะคิดตัดสินใจเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าถูกต้องได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง