บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทร (KKP) เสนอวิธีปฏิรูปสถาบันสูงสุดของประเทศผ่านบัญชีเฟซบุ๊กชื่อ 'Banyong Pongpanich' ระบุว่า ขอให้ทุกฝ่ายเปิดใจพิจารณาข้อเสนอของตนเอง
บรรยงชี้ว่า นอกจากข้อเสนอ 10 ข้อ ของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ตนเองยังไม่เห็นข้อเสนอของฝ่ายใดมีความเป็นรูปธรรมในประเด็นปฏิรูปสถาบันสูงสุดของประเทศ ที่ผ่านมาล้วนเป็นการเรียกร้องโดยกว้างให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
เนื้อหาที่ประธานฯ กลุ่มการเงิน เกียรตินาคินภัทร นำเสนอ คือขอให้อย่าสร้างความวุ่นวายด้วยการปฏิรูปสถาบันสูงสุดในช่วงเริ่มต้นของรัชกาลปัจจุบัน เพราะแม้ทุกอย่างสามารถปรับปรุงและปฏิรูปให้ดีขึ้นได้ แต่สถานการณ์ของประเทศกำลังอยู่ท่ามกลางความสับสนและข้อขัดแย้งอย่างยิ่งใหญ่ จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องหาจุดเริ่มต้น ซึ่งยอมรับได้ร่วมกันก่อน
บรรยง ชี้ว่า ข้อเสนอดังกล่าว ตนเองคิดว่าทุกฝ่ายจะร่วมเข้าใจได้ โดยฝั่ง 'ผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน' (คำจำกัดความของบรรยง) สามารถพิจารณาข้อเสนอของตนเองได้อย่างไม่ยากนัก ขณะที่ฝั่งผู้เรียกร้องให้มีการปฏิรูป ตนเองร้องขอให้ไตร่ตรองข้อเสนอของตนอย่างถ่องแท้ ให้นับเป็นจุดเริ่มต้นร่วมกัน หากทั้ง 2 ตกลงกันได้ บรรยง ชี้ว่าจะเป็นการถอดสลักข้อขัดแย้งให้กับรัฐบาลได้
พร้อมสรุปในช่วงท้ายว่า ข้อเสนอของตนเองเป็นเพียงทางเลือกให้ทุกฝ่ายยุติข้อขัดแย้งที่เริ่มบานปลาย อันเป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงที่จะนำความเสื่อมถอยมาให้ประเทศอย่างยาวนาน
"ข้อเสนอ" ในการ "ปฏิรูป" สถาบันสูงสุดของประเทศ …23 ตุลาคม 2563
หนึ่งในประเด็นที่มีผู้เรียกร้องกันมากในขณะนี้ นอกจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ยุติการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ คสช. ให้นายกรัฐมนตรีลาออกแล้ว ประเด็นที่ร้อนแรงและเป็นที่ถกเถียงกันมากก็คงเป็นเรื่องของการ "ปฏิรูป" สถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นองค์ประกอบที่เหมาะสมและถาวรของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นอกจากข้อเสนอสิบข้อของกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมแล้ว ผมยังไม่ค่อยเห็นข้อเสนออื่นๆ ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนจากกลุ่มอื่นๆ แม้จากกลุ่มหลักเยาวชนปลดแอก ก็ดูเหมือนจะเรียกร้องกว้างๆ เพียงว่าขอปฏิรูปเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่เหนือการเมือง แต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
วันนี้ผมจะลองนำเสนอแนวทางและเหตุผลในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ เพื่ออาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายพอจะรับได้ และเป็นแนวทางที่ปฏิบัติได้จริง
ก่อนอื่นต้องขอประกาศเลยว่า ผมไม่ได้เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องทั้งสิบข้อของคณะธรรมศาสตร์และการชุมนุม ถึงแม้จะเห็นด้วยในบางข้อ(ขอไม่สาธยายนะครับว่าข้อไหนบ้างด้วยเหตุผลใด)
หลักการที่ผมขอเสนอในการปฏิรูปสถาบันสูงสุดนี้มีสั้นๆ และง่ายๆ ดังนี้นะครับ…
"ในเมื่อเป็นที่พิสูจน์จนประจักษ์ชัดแล้วว่า ภายใต้พระราชอำนาจ และพระราชทรัพย์ที่มีอยู่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 นั้น พระราชาผู้ทรงธรรม สามารถปกครองประเทศได้อย่างวิเศษ สร้างคุณูปการมหาศาลให้แก่พสกนิกรได้อย่างถ้วนทั่ว จนได้รับการสรรเสริญว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรมครบถ้วน ดังนั้นเราจึงควรสืบต่อระบอบแบบเดิม ธำรงรักษาไว้เพื่อความสถิตย์สถาพรของสถาบันพระมหากษัตริย์สืบต่อไป"
ซึ่งภายใต้หลักการที่ว่านี้ ก็หมายความว่า ในระยะเริ่มต้นของรัชกาลปัจจุบัน เราไม่สมควรจะไปเปลี่ยนแปลงปฏิรูปอะไรให้วุ่นวายไป อะไรที่คณะ คสช. สนช. หรือแม้แต่รัฐบาล รัฐสภาได้ทำไปเกี่ยวกับสถาบันฯ ภายหลังจากที่เสด็จสวรรคตนั้น ก็น่าที่จะได้รับการปรับเปลี่ยนให้กลับไปเหมือนเดิม ซึ่งเป็นหลักการที่ทำให้พระมหากษัตริย์ได้ทรงปกครองพัฒนาบ้านเมืองได้อย่างสงบร่มเย็น ก้าวหน้ามาเป็นที่ประจักษ์ต่อพสกนิกรตลอดเจ็ดสิบปีที่ทรงครองราชย์
ถ้าเราจะย้อนกลับไปดูข้อบัญญัติอันเกี่ยวกับสถาบันฯ ในรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ (รวมถึงรัฐธรรมนูญชั่วคราว) จะพบว่าทุกฉบับ จะมีหลักการและการกำหนดพระราชอำนาจไว้แบบเดียวกัน ในขอบเขตเดียวกันทั้งสิ้น รวมทั้งกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็เป็นกฎหมายที่สามารถทำให้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจและพระราชกุศลได้อย่างเหมาะสมตลอดเจ็ดสิบปี
จริงอยู่ครับว่า ทุกสิ่งสามารถมีการปฏิรูปปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ ตามพัฒนาการ ตามบริบทที่เปลี่ยนแปลง แต่ท่ามกลางความสับสน ความขัดแย้งยิ่งใหญ่อย่างในเวลานี้ เราจำเป็นที่จะต้องมีจุดเริ่มต้นที่ทุกฝ่ายพอรับได้เสียก่อน ก่อนที่จะเริ่มปฏิรูปต่อไป
สำหรับผู้ที่จงรักภักดีต่อสถาบันนั้น ผมเชื่อว่าข้อเสนอของผมควรจะได้รับการพิจารณาด้วยดี เพราะเป็นข้อเสนอที่เราต่างก็ร่มเย็นด้วยพระมหากรุณาธิคุณภายใต้กฎเกณฑ์นี้มาตลอดชีวิต
สำหรับกลุ่มผู้เรียกร้องให้ปฏิรูปนั้น ผมขอเรียกร้องให้พิจารณาข้อเสนอนี้อย่างถ่องแท้ ถึงจะไม่เหมือนกับที่บางกลุ่มเรียกร้องแต่ก็น่าจะเป็นสถานะที่ควรยอมรับได้ จุดเริ่มต้นอย่างนี้ ไม่ได้บิดเบือนไปจากหลักการสากลแต่อย่างใด
สำหรับสถาบันฯ นั้น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระอัจฉริยภาพ และด้วยทศพิธราชธรรม ย่อมเพียงพอที่จะทรงสร้างพระบารมี พระราชทานคุณประโยชน์แก่พสกนิกรถ้วนหน้า เป็นเยี่ยงอย่างสืบไปชั่วกาลนาน …อีกทั้งพระราชอำนาจและพระราชทรัพย์ที่เพิ่มนั้นพระมหากษัตริย์ก็ไม่ได้ทรงเรียกร้องต้องการแต่อย่างใด เป็นเพราะคณะคสช.และรัฐบาลจัดถวายทั้งสิ้น
สำหรับชาวคณะคสช.นั้น นี่ก็จะเป็นการถอดสลักข้อขัดแย้งหลักได้อย่างสันติ
ทั้งหมดนี้ เป็นข้อเสนอภายใต้หลักการง่ายๆ ของผมเพื่อให้ทุกฝ่ายได้พิจารณาเพื่อยุติข้อขัดแย้งที่เริ่มบานปลาย อันเป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงที่จะนำความเสื่อมถอยมาให้ประเทศอย่างยาวนาน
หวังว่าจะได้รับการพิจารณาจากทุกฝ่าย เพื่อเป็นทางเลือกในการออกจากความขัดแย้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้นะครับ"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: