วันที่ 26 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพร้อมคณะได้เดินทางไปเยือนต่างประเทศจำนวน 14 ประเทศ และพบปะหารือกับบริษัทชั้นนำกว่า 60 แห่งจากทั่วโลก โดยเน้นการลงทุนใน 4 อุตสาหกรรมหลักคือ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), อิเล็กทรอนิกส์-เซมิคอนดักเตอร์, ดาตาเซ็นเตอร์, คลาวนด์ เซอร์วิส
โดยคาดการณ์ว่า การเดินทางเยือน 14 ประเทศนั้นจะเกิดเม็ดเงินลงทุนรวม 558,000 ล้านบาท แยกเป็น อุตสาหกรรมดิจิทัล จำนวน 250,000 ล้านบาท อุตสาหกรรม EV และชิ้นส่วน จำนวน 210,000 ล้านบาท อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์-เซมิคอนดักเตอร์ จำนวน 95,000 ล้านบาท และอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น โลจิสติกส์ จำนวน 3,000 ล้านบาท
สำหรับอุตสาหกรรมที่รัฐบาลให้ความสำคัญเพื่อเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปภายในไปสู่อุตสาหกรรม EV รัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อดูดผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหม่เข้ามาลงทุน และสนับสนุนผู้ผลิตรายเดิมให้สามารถปรับตัวได้ ซึ่งผลจากการดำเนินงาน ทำให้บริษัทผู้ผลิตจากจีนหลายรายในระดับท็อป 10 ของโลก เช่น BYD, Aion, Changan, GWM, MG เลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก
นฤตม์ ยังกล่าวอีกว่า จากการเจรจาครั้งสำคัญเมื่อปีที่แล้วที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ทำให้ 4 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นชั้นนำมีแผนการขยายการลงทุนรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานในการปรับตัวไปสู่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต รวมถึงการรักษาธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปภายใน ซึ่งในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลยังคงเดินหน้าเจรจากับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากยุโรป และอเมริกาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่อุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะด้านดาต้าเซ็นเตอร์ และคลาวนด์เซอร์วิส ซึ่งเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรม AI คาดว่า ภายในปีนี้จะมีผู้ให้บริการระดับศูนย์ข้อมูลที่อาศัยพลังการประมวลผลอย่างมหาศาล หรือดาต้าเซ็นเตอร์ในระดับไฮเปอร์สเกลเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมอย่างน้อย 2 ราย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการสนับสนุนการผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ชั้นนำของโลก ซึ่งคาดว่า ภายในปีนี้จะมีผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่อย่างน้อย 2 รายเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ทั้งนี้ในช่วงการเดินทางโรดโชว์ของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้รับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่ารวม 8.5 แสนล้านบาท ถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี เมื่อพิจารณาเฉพาะมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ มีการเติบโตสูงถึง 72% จากปีก่อน และในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 มีมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศขยายตัวกว่า 145% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในช่วงปีที่ผ่านมา