เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ หรือชื่อที่เป็นที่รู้จักในหมู่ประชาชนชาวฟิลิปปินส์ว่า “บองบอง” คว้าคะแนนเสียงจากประชาชนไปกว่า 30 ล้านคะแนนเสียง เมื่อเทียบกับคู่แข่งของตนเองอย่างรองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เลนี โรเบรโด ผู้เสนอนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนและการปฏิรูปที่ได้คะแนนไป 14 ล้านเสียง ตลอดจนแมนนี มาเกียว ที่ได้คะแนนตามมาเป็นอันดับสามที่ 3.5 ล้านเสียง
การประกาศคะแนนในครั้งนี้ยังเป็นการประกาศคะแนนอย่างไม่เป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้งฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ดี การประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์จะใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ ทั้งนี้ การกลับมาเป็นผู้นำของฟิลิปปินส์โดยตระกูลมาร์กอสเกิดจากความพยายามในการปรับเปลี่ยนรูปโฉมและชื่อเสียของตระกูลอดีตเผด็จการที่ปกครองด้วยการกดขี่ ผ่านการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียของฟิลิปปินส์ในยุคปัจจุบัน
ตลอดช่วงการปกครองของมาร์กอสผู้พ่อ ฟิลิปปินส์พบกับปัญหาวิกฤตสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก รวมถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันจนทำให้ตระกูลมาร์กอสกลายเป็นมหาเศรษฐีจากการเล่นการเมืองและเป็นเผด็จการปกครองประเทศยาวนานกว่าสองทศวรรษ
มาร์กอสผู้ลูกได้แถลงขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนและเลือกตนมาเป็นประธานาธิบดีของชาวฟิลิปปินส์เมื่อคืนวานนี้ (9 พ.ค.) ว่า “ถึงแม้ว่าคะแนนจะยังนับไม่เสร็จ แต่ผมไม่สามารถรอที่จะกล่าวคำขอบคุณกับทุกคนได้ แด่คนที่ให้การช่วยเหลือ แด่คนที่เข้าร่วมการต่อสู้ของเรา แด่คนที่เสียสละ”
ตลอดการหาเสียงของมาร์กอส จูเนียร์ ลูกชายของอดีตเผด็จการได้นำเสนอตนในฐานะการเป็นพื้นที่ของ “ความสามัคคี” ตลอดจนการให้คำสัญญาในการสร้างงานให้แก่ชาวฟิลิปปินส์ ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ตลอดจนการลงทุนในภาคเกษตรกรรมและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
นักวิเคราะห์การเมืองกล่าวว่า มาร์กอส จูเนียร์ เสนอตัวและได้รับเลือกจากชาวฟิลิปปินส์ที่เบื่อหน่ายกับความขัดแย้งทางการเมือง และคำมั่นสัญญาว่าจะนำนโยบายก้าวหน้าและการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งหลายคนรู้สึกว่าไม่ได้ทำประโยชน์ให้ประชาชนทั่วไป จากโพลสำรวจพบว่า คะแนนของมาร์กอส จูเนียร์ นำผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนอื่นๆ กว่า 30% หลายโพลชี้ตรงกันว่าลูกชายอดีตเผด็จการฟิลิปปินส์จะ “นอนมา” ในการเลือกตั้งเมื่อวานนี้
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ร่วมลงต่อสู้กับมาร์กอส จูเนียร์ ในตำแหน่งรองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์อย่าง ซารา ดูเตอร์เต คาร์ปิโอ ลูกสาวของประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ที่ประกาศวางมือจากการเมืองฟิลิปปินส์ ก็ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนอย่างมากเช่นกัน ตลอดจนความหวังว่าเธอจะยังคงเดินหน้านโยบาย “สงครามต่อต้านยาเสพติด” ของผู้เป็นพ่อต่อไป ทั้งนี้ การเลือกตั้งรองประธานาธิบดีฟิลิปปินส์จะถูกจัดแยกกันกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ โดย ดูเตอร์เต คาร์ปิโอ ก็มีคะแนนในโพลนำผู้ท้าชิงคนอื่นๆ เช่นกัน
ในทางตรงกันข้าม โรเบรโดผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่มีคะแนนตาม มาร์กอส จูเนียร์กว่าครึ่งกล่าวกับมวลชนของตนว่า “เรายังไม่บรรลุผล เราเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น” ทั้งนี้ โรเบรโดนำเสนอนโยบายการบริหารงานด้วยระบบธรรมภิบาล ความโปร่งใสตรวจสอบได้ และสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ดี ประชาชนฟิลิปปินส์กลับเทคะแนนให้กลับลูกชายของอดีตเผด็จการมาร์กอส ที่มอบคำสัญญาในการสร้างฟิลิปปินส์ให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งอย่างล้นหลาม
ประชาชนชาวฟิลิปปินส์หลายคนมองว่า การปกครองของเผด็จการมาร์กอสผู้พ่อไม่ต่างอะไรไปจากยุคทองของฟิลิปปินส์ อย่างไรก็ดี มาร์กอส จูเนียร์ ชูนโยบายพร้อมสโลแกน “กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” เพื่อหวนให้มวลชนนึกย้อนไปถึงอดีตของฟิลิปปินส์ ที่ปัจจุบันประชาชนหลายฝ่ายมองว่ากำลังพบกับการพัฒนาที่ไม่ก้าวไปไหน ประชาชนจำนวนมากยังมองอีกว่าในยุคของเผด็จการมาร์กอส ฟิลิปปินส์มีพัฒนาและความมั่งคั่งกว่าในยุคปัจจุบันอย่างมาก
มีคำกล่าวว่าฟิลิปปินส์ภายใต้เผด็จการมาร์กอสมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาล ถนน และสะพาน ในขณะที่นักวิจารณ์กล่าวว่าความเชื่อเหล่านี้เป็นภาพลวงตา เพราะโครงการเหล่านั้นเกิดขึ้นจากการคอร์รัปชันในวงกว้าง รวมถึงการใช้เงินกู้จากต่างประเทศ และหนี้ที่พุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ตลอดการปกครองภายใต้เผด็จการมาร์กอสที่ใช้กฎอัยการศึกระหว่างปี 2515 ถึง 2524 มีประชาชนหลายหมื่นรายถูกตัดสินจำคุก ทรมาน และสังหาร มีรายงานเงินที่เผด็จการมาร์กอสโกงไปจากประชาชนฟิลิปปินส์กว่าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
เมื่อปี 2529 มาร์กอส จูเนียร์ ต้องลี้ภัยทางการเมืองไปยังฮาวายตั้งแต่วัย 29 ปี หลังจากประชาชนชาวฟิลิปปินส์ลุกฮือขับไล่ผู้เป็นพ่อที่ปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการ เผด็จการมาร์กอสเสียชีวิตในอีกสามปีต่อมา ครอบครัวมาร์กอสเดินทางกลับมายังฟิลิปปินส์อีกครั้งในปี 2534 และกลับมาเป็นนักการมืองที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี มาร์กอส จูเนียร์ จะขึ้นมาปกครองฟิลิปปินส์แทนดูเตอร์เตอ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปราบปรามภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน ตลอดจนสงครามนองเลือดของการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งตำรวจอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 6,000 คน ยังไม่นับรวมถึงวิกฤตเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ดี คะแนนนิยมในฝ่ายขวาของฟิลิปปินส์ยังคงไม่ลดต่ำลง นักวิเคราะห์ยังมองอีกว่า มาร์กอส จูเนียร์ อาจเข้ามาปรับสมดุลทางนโยบายระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทะเลจีนใต้อีกด้วย
ที่มา: