ไม่พบผลการค้นหา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมวิชาการยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ประกาศเดินหน้า Quick Win ตั้งมินิธัญญารักษ์ให้ครบทุกจังหวัดใน 100 วัน ยึดหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” เผยปี 2566 มีผู้เข้ารับการบำบัด 1.86 แสนคน อยู่ในช่วงวัยรุ่น 18-24 ปี ร้อยละ 17 โดยส่วนใหญ่ติดยาบ้าถึงร้อยละ 84

วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2566) ที่อาคารอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมวิชาการยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 23 “ทิศทางการบำบัดยาเสพติดในอนาคต : ประมวลกฎหมายยาเสพติดสู่การปฏิบัติ” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2566 พร้อมมอบรางวัลมินิธัญญารักษ์/คู่มือมินิธัญญารักษ์ และมอบนโยบายด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดของกระทรวงสาธารณสุข ตามแผนปฏิบัติการเร่งรัด (Quick Win)

นพ.ชลน่านกล่าวว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายในการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยยึดหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย” ให้เข้าสู่กระบวนการบำบัดและฟื้นฟู ตาม พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ที่กำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการบำบัดและฟื้นฟูผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดอย่างมีคุณภาพและมาตรฐาน ให้ได้รับการดูแลอย่างครบวงจร รวมถึงประสานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามช่วยเหลือดูแลผู้ผ่านการบำบัดให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี มีงานทำ และอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย ไม่กลับไปสู่วงจรยาเสพติดอีก กระทรวงสาธารณสุขจึงกำหนดให้เรื่องจิตเวชและยาเสพติด เป็นหนึ่งใน Quick Win ที่จะดำเนินการให้เห็นผลใน 100 วัน โดยมีการตั้งมินิธัญญารักษ์ทุกจังหวัด มีหอผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติดในโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง และมีกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติดครบทุกโรงพยาบาลชุมชน ให้การดูแลทั้งผู้ใช้ ที่มีการใช้ยาเสพติดเป็นครั้งคราว จะเน้นการบำบัดฟื้นฟูโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน, ผู้เสพ ที่มีการใช้ยาบ่อยขึ้นจนมีอาการอยากใช้ยาต่อ และผู้ติดยาเสพติด ซึ่งต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัดในสถานพยาบาล ซึ่งจะใช้ระยะเวลาดูแล 4-6 เดือน

"กระทรวงสาธารณสุข มีสถาบันบำบัดรักษาฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กรมการแพทย์ เป็นหน่วยงานหลักในการบำบัดรักษา รวมถึงการวิจัย ถ่ายทอด พัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการบำบัดรักษา ยาเสพติดให้แก่บุคลากรผู้ปฏิบัติงานที่กระจายอยู่ทั่วประเทศทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่งตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา ได้จัดให้มีการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานด้านวิชาการ ทักษะ และเทคนิคในการปฏิบัติงาน เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สามารถการนำไปประยุกต์ใช้ในงานได้จริงถึงร้อยละ 90" นพ.ชลน่านกล่าว

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การติดยาและสารเสพติดมักพบร่วมกับปัญหาทางจิตเวชได้บ่อย โดยปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น พบว่า ร้อยละ 60 มักเกิดจากผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติด ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้จำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยยาเสพติดรวมทั่วประเทศไม่เพียงพอและไม่ครอบคลุมทุกเขตสุขภาพ กรมการแพทย์ โดย สบยช.และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ภูมิภาคทั้ง 6 แห่ง จึงร่วมกันพัฒนารูปแบบการบำบัดรักษาและฟื้นฟูฯ ชื่อ “มินิธัญญารักษ์” เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการในผู้ป่วยติดยาและสารเสพติด ให้ได้รับการบำบัดอย่างต่อเนื่อง ไร้รอยต่อ ในโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขที่มีความพร้อมและศักยภาพในการบำบัดรักษาและฟื้นฟู ทั้งระยะเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน การดูแลระยะกลาง และการบำบัดฟื้นฟูระยะยาว ช่วยลดอันตรายจากการใช้ยาและสารเสพติด โดยมีเป้าหมาย “1 จังหวัด 1 มินิธัญญารักษ์” ตามนโยบาย Quick Win 100 วันของรัฐบาล

ด้าน นพ.สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) กล่าวว่า ปีงบประมาณ 2566 มีการบำบัดผู้ติดยาเสพติดทั้งประเทศรวม 186,104 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย 168,369 คน เพศหญิง 17,735 คน ช่วงอายุที่พบมากที่สุด คือ มากกว่า 39 ปี จำนวน 57,048 คน คิดเป็นร้อยละ 30.65 รองลงมาคือ วัยรุ่นอายุ 18-24 ปี จำนวน 31,667 คน คิดเป็นร้อยละ 17.02 และอายุ 25-29 ปี จำนวน 31,581 คน คิดเป็นร้อยละ 16.97 ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง ว่างงาน และการเกษตร โดยเป็นการใช้ยาบ้ามากที่สุด ร้อยละ 84.54 ตามด้วยเฮโรอีน ร้อยละ 4.05 และกัญชา ร้อยละ 3.46 แยกเป็น เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ร้อยละ 57.29 ผู้ป่วยในระยะบำบัดด้วยยา ร้อยละ 5.74 ผู้ป่วยในระยะฟื้นฟูสมรรถภาพ ร้อยละ 0.6 ฟื้นฟูสมรรถภาพในชุมชน ร้อยละ 8.41 และ อื่นๆ ร้อยละ 27.96 ทั้งนี้ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.) และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ภูมิภาค ทั้ง 6 แห่ง มีผู้เข้ารับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ ที่มีความยุ่งยากซับซ้อน จำนวน 11,080 คน จำแนกเป็นผู้ป่วยนอก จำนวน 5,630 คน คิดเป็นร้อยละ 50.81 ผู้ป่วยใน จำนวน 5,424 คน คิดเป็นร้อยละ 49.19