วันที่ 1 ก.พ. ที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความของพุทธะอิสระ ซึ่งเป็นผู้ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพักก้าวไกลในกรณีการหาเสียง นโยบายการแก้ไขมาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครอง โดยในวันนี้นายธีรยุทธ ได้นำคำร้อง พร้อมเอกสารประกอบทั้งหมดจำนวน 116 แผ่น มายื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้บังคับใช้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ 2560 ในมาตรา 92 ที่ระบุว่าเมื่อคณะกรรมการมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมือง ซึ่งในบัญญัติดังกล่าวได้ระบุบางช่วงบางตอนไว้ว่า การกระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ กกต.ดำเนินการส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาให้ยุบพรรคก้าวไกล
โดย ธีรยุทธ ระบุว่า ส่วนในวันนี้ที่มายื่นคำร้อง เพราะต้องการทำหน้าที่ให้ครบถ้วน หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาแล้วตนจึงจำเป็นต้องทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นกระบวนการ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วัตถุประสงค์ที่มายื่นเดิมที ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะยุบพรรคก้าวไกลเลยหรือไม่ นายธีรยุทธตอบว่า เดิมทีแค่ต้องการให้ศาลหยุดการกระทำ แต่เนื่องด้วยหลายปัจจัย และได้อ่านคำวินิจฉัยของศาลอย่างละเอียดแล้ว เห็นว่า ตนมีภาระผูกพันจำต้อง ทำกระบวนการต่อไป ในการทำหน้าที่ ว่าใครเป็นคนสร้างเหตุให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่
ส่วนในอนาคตหากกกตมีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณายุบพรรคก้าวไกล จะทำให้ในอนาคตภายภาคหน้าเกิดความขัดแย้งทางการเมืองหรือไม่ ธีรยุทธ ตอบว่า ไม่กังวล เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามระบอบการเมืองการปกครอง อีกทั้งพระก้าวไกลจะเป็นพรรคการเมืองที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เชื่อว่า หากเกิดความขัดแย้ง เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ที่แต่ละคนควรจะต้อง พิจารณาถึงหลักการ
ส่วนคำวินิจฉัยของศาลเมื่อวานนี้ เป็นการกำหนดบรรทัดฐานใหม่ในการแก้กฎหมายใหม่ โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่อาจจะไม่สามารถพูดหรือนำเสนอได้ทั้งในและนอกสภา โดยเฉพาะ ม.112 ธีรยุทธ กล่าวว่า หากอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างละเอียด บรรทัดสุดท้าย มีการวินิจฉัยว่าไม่ได้เป็นการปิดประตู แต่การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องเป็นไปตามครรลองของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ สำหรับตนมองว่าการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 จะต้องเป็นฉันทามติ ไม่ใช่วาระซ่อนเร้น ผ่านทางการเมือง โดยประชาชนอาจจะยังไม่ทราบถึงรายละเอียดของกฎหมาย โดยสารเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีหลักการและเหตุผลในการพิจารณา ซึ่งก่อนที่จะมีคำวินิจฉัยศาลได้มีการประชุมพิจารณา คำร้องของตนเองหนาถึง 62 ครั้ง ถือได้ว่าเป็นจำนวนมาก กว่าการพิจารณา แล้วตนมองว่าคำวินิจฉัยที่ออกมานั้นมีความละเอียดรอบด้านแล้ว