ไม่พบผลการค้นหา
15 ก.พ.2566 ที่อาคารรัฐสภา มีการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ในช่วงดึกไพร์มไทม รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกลอภิปรายเรื่องขบวนการค้ายาเสพติดจากเมียนมา ทุนจีนสีเทาที่ทำผิดกฎหมายซึ่งเชื่อมโยงกับทั้ง ส.ว.แต่งตั้ง พปชร. และรทสช. ในขณะที่ ส.ส.เพื่อไทย อภิปรายเกี่ยวกับความล้มเหลวในการแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาลประยุทธ์
ส.ว.แต่งตั้งโยงทุนเมียนมาค้ายา ตร.ดีโดนเด้ง : รังสิมันต์ โรม พรรคก้าวไกล
  • เจ้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนนครบาล จับกุมผู้ค้ายา 3-4 กลุ่ม เป็นกลุ่มที่ไปรับยาจากเมียนมาเพื่อขายต่อ โดยมีการโอนเงินจ่ายค่ายากันผ่านบัญชีม้า และมีผู้ควบบัญชีอยู่นอกประเทศ 
  • เงินที่เข้าบัญชีม้าพบว่าถูกเอาไปฝากต่อไว้ที่บัญชีของ ‘การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย’ จากนั้นก็มีการส่งไฟฟ้าต่อส่งสายข้ามแดนไปขายที่เมืองท่าขี้เหล็ก เปลี่ยนกลับเป็นเงินค่ายาบ้าให้ผู้ผลิตในที่สุด ทำกันมาตั้งแต่ปี 2550 ในนามของ 3 บริษัท คือ เมียนมาอัลลัวร์ , อัลลัวร์กรุ๊ป และอัลลัวร์พีแอนด์อี ซึ่งเป็นการอำพรางเงินผิดกฎหมาย ทำให้เหมือนเป็นการใช้เงินที่สุจริต
  • ตำรวจสืบนครบาลจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญได้ 4 ราย เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2565 คนแรกเป็นชาวเมียนมา คือนายตุน มิน ลัต อีกคนสัญชาติไทยชื่อ นายดี อีก 2 คนเป็นหญิงไทย ชื่อ นาง ป. กับ นางสาว น. 
  • ข่าวล่าสุดทั้ง 4 คนถูกส่งฟ้องศาลแล้ว นอกจากนี้ยังมีอีก 2 คนที่ถูกหมายจับและหลบหนีอยู่ คือ นายพันณรงค์ ซึ่งถูกเปิดโปงว่าเป็นเจ้าพ่อเว็บพนันออนไลน์ 1 ใน 3 รายใหญ่ของไทย อีกคนคือนางสาว ก. 
  • เรื่องเหมือนจะจบเพียงเท่านี้ จนกระทั่งมีตัวละครหนึ่งปรากฏขึ้น เพราะพบว่า ตุน มิน ลัต มีความสัมพันธ์กับชายไทยคนหนึ่งคือ นาย อ. หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘อ.ทรงเอ’ ซึ่งเคยร่วมลงทุนกับ ตุน มิน ลัต เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทอัลลัวร์ที่พัวพันกับการฟอกเงิน นอกจากนี้ ‘อ.ทรงเอ’ ยังมีศักดิ์เป็นพ่อตาของนายดี ที่ถูกจับกุมไปรอบเดียวกับ ตุน มิน ลัต และมีเคยเป็นกรรมการในบริษัทอัลลัวร์
  • ประเด็นที่สำคัญคือ นาย อ.ทรงเอ คนนี้เป็นผลงานสำคัญของ คสช. เพราะได้รับการคัดเลือกให้เป็น ส.ว.ชุดแรกที่ขานชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี โดยข้ออ้างว่า อ.ทรงเอ มีความเชี่ยวชาญด้านพลังงาน 
  • เมื่อมีการจับตัว ตุน มิน ลัต นาย อ.ทรงเอ ออกมาปฎิเสธ ไม่รู้เรื่องเพราะเลิกทำธุรกิจตามชายแดนไปตั้งแต่รับตำแหน่ง ส.ว. แล้ว และตอนนี้กำลังสนใจแต่เรื่องพุทธศาสนา อัลลัวร์กรุ๊ปกับเมียนมาอัลลัวร์ก็ได้ขายหุ้นไปหมดแล้ว 
  • แม้ว่าจะบอกว่าเลิกยุงเกี่ยวกับธุรกิจชายแดนไปแล้ว แต่กลับมีการสั่งการให้เลขาของตัวเองคือ นาง ป. (ที่ถูกจับกุมไป) ไปจดจัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ในชื่อ ‘อัลลัวร์พีแอนด์อี’ นาง ป. เคยให้การกับ DSI ยอมรับว่า การถือหุ้นอัลลัวร์พีแอนด์อีและอัลลัวร์กรุ๊ปนั้นเป็นการให้นำชื่อไปใช้เท่านั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเพียงนอมินีของบริษัทฟอกเงินผ่านการซื้อขายไฟฟ้า 
  • เมื่อตั้งอัลลัวร์พีแอนดอี นาง ป.ทำหน้าที่ส่งรายงานค่ายาเสพติดที่ตบแต่งเป็นไฟฟ้า ค่าดำเนินการจ้างพนักงาน ค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้กับ อ.ทรงเอ 
  • ตอนนี้ นาง ป. ถูกจับกุมแล้วมีโทษสูงถึงประหารชีวิต แต่ผู้สั่งการทั้งหมดคือ อ.ทรงเอ กลับลอยตัว และหากอ้างว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว แต่ทำไมลูกน้องมาคอยร่ายงานเรื่องของบริษัทอยู่ตลอดทุกเดือน
  • แม้แต่ตุน มิน ลัต เองที่อ้างว่าเป็นผู้ซื้อไฟฟ้า โอนเงินทุกครั้งก็ยังต้องส่งสลิปโอนเงินให้กับ อ.ทรงเอ ส่วน อ.ทรงเอ ก็นำสลิปจากนาง ป. มาแปะให้ ตุน มิน ลัต รับทราบเช่นกัน ทำให้เกิดคำถามว่า เรื่องที่ นาง ป. กับ ตุน มิน ลัต น่าจะสามารถดำเนินการระหว่างกันได้ ทำไมต้องนำเรื่องมารายงานให้ อ.ทรงเอทราบ ราวกับเป็นผู้ดูแลกิจการด้วยตัวเอง
  • นอกจากนี้ อ.ทรงเอ ยังสั่งการให้ ตุน มิน ลัต ปลอมลายเซ็นต์ของพันณรงค์ (ที่หลบหนีหมายจับอยู่) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คนปัจจุบันของอัลลัวร์กรุ๊ป มากไปกว่านั้นยังมีการพูดคุยกับเพื่อขอให้ร่วมจ่ายค่าเช่าที่ของอัลลัวร์กรุ๊ปอีกด้วย แม้ว่าจะบอกว่าขายหุ้นไปหมดแล้ว แต่ยังมีการแชร์ค่าใช้จ่ายด้วยกันอยู่
  • ทั้งหมดนี้ ส่อให้เห็นว่า อ.ทรงเอ ที่เป็น ส.ว. ไม่ได้วางมือจากธุรกิจ แต่อยู่เบื้องหลังทุกคน ในธุรกิจฟอกเงินค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่า คสช. ไม่รู้เรื่องนี้ 
  • เมื่อหลักฐานชัดเจน ตำรวจได้ขออกหมายจับ อ.ทรงเอ เมื่อวันที่ 3 ต.ค.2565 ในความผิดที่ร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงิน โทษจำคุกเกิน 30 ปี และศาลอนุมัติหมายจับให้ ถ้าหลักฐานไม่ชัด ตำรวจคงไม่กล้าขอ ศาลก็ไม่กล้าให้ 
  • แต่ในวันเดียวกันหลังจากศาลออกหมายจับในช่วงเช้า เมื่อถึงช่วงบ่ายศาลกลับเรียกตำรวจกลับไปเพื่อถอนหมายจับ ตามบันทึกการสั่งการระบุว่า พิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ร้องให้ออกหมายจับ ศาลได้พิจารณาคำร้องและออกหมายจับตามขอ เมื่อพิจารณาคำแนะนำ ‘อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา’ ทางผู้ร้องแจ้งเจ้าหน้าที่ศาลว่าผู้ถูกหมายจับเป็นบุคคลสำคัญ แต่ไม่ได้แจ้งให้ศาลทราบ จึงให้เพิกถอนหมายจับกับหมายค้นเสีย เพื่อให้มีหมายเรียกก่อนภายใน 15 วัน หากไม่มาตามหมายเรียกให้ผู้ร้องดำเนินการขอออกหมายจับต่อไป ส่วนที่ให้ออกหมายเรียกเพราะเชื่อว่าบุคคลดังกล่าวไม่มีพฤติการณ์หลบหนี 
  • ในวันที่ถอนหมายจับนั้น ได้ยินมาว่ามีการคุยกันในห้อง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาขอหมายจับ มีผู้พิพากษาที่อนุมัติหมายจับให้ มีอธิบดีศาลอาญา และนอกจากนั้นยังมีรองอธิบดีศาลอาาญาที่มีประวัติไม่ให้ประกันตัวจำเลยคดีการเมืองมาแล้วหลายคน คือ ‘อรรถการ ฟูเจริญ’ ซึ่งได้ยินว่าอรรถการพูดเยอะกว่าอธิบดีศาลด้วยซ้ำ ราวกับเป็นคนนำการประชุมเสียเอง และหลังจากคุยกันเสร็จคำสั่งถอนหมายจับก็อนุมัติออกมา 
  • การออกหมายเรียกนั้น สืบนครบาลไม่สามารถทำเองได้ ผู้มีอำนาจออกหมายเรียกผู้ต้องหาต้องเป็นตำรวจผู้สอบสวนคือ กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด แต่พบว่า ไม่มีการออกหมายเรียกเลย จนวันที่ 1 พ.ย.สภาเปิด นาย อ.ทรงเอ ก็อาศัยเอกสิทธิ์ความเป็น ส.ว. ถ่วงเวลาให้ไม่ต้องถูกเรียกไปสอบสวนได้ 
  • คนที่เป็นลูกน้องโดนจับไปแล้ว แต่คนที่เป็นเจ้านายยังรอด ซึ่งถ้าเป็นการทำผิดระหว่างดำรงตำแหน่งอยู่ โทษการฟอกเงินต้องรับผิด 2 เท่า โทษเรื่องค้ายาเสพติดต้องรับผิด 3 เท่า 
  • ในทางกลับกัน มีคำสั่งย้ายนายตำรวจที่ทำคดีนี้ เมื่อวันที่ 1 ก.พ.  2566 คือ พ.ต.อ.กฤศณัฏฐ์ ธนศุภณัฏฐ์ ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ทั้งที่ทำผลงานปราบปรามยาเสพติดดีเด่น แต่เด้งไปอยู่ สภ.บ้านเดือ จ.ชัยภูมิ ทั้งที่ ผบ.ตร. เคยสั่งการไว้ว่า จะย้ายใครต้องคำนึงถึงความต่อเนื่องในการทำคดียาเสพติด 
  • คำถามคือ พล.อ.ประยุทธ์ ได้อะไรจาก อ.ทรงเอ คำตอบอยู่ที่ที่ดิน เนื้อที่ 2 งาน 17 ตาราวา ทำเลดี อารีย์ซอย 5 ใจกลางเมือง ซึ่งเดิมเป็นของบริษัทUPA ซึ่งนาย อ.ทรงเอ ไปซื้อมา บริษัทนี้เคยบริหารและถือหุ้นใหญ่โดย อ.ทรงเอ ก่อนจะบอกว่าขายหุ้นไปหมดแล้ว ต่อมา 4 ส.ค.2564 บริษัท UPA ได้โอนกรรมที่ดินให้ อ.ทรงเอ โดยขายให้ในราคา 101 ล้านซึ่งถูกเกินไป เพราะปกติขายกันอยู่ที่ 150 ล้าน 
  • มากไปกว่านั้น บนที่ดินนี้ UPA สร้างตึกขึ้นมาหลังหนึ่ง ซึ่งตอนขายที่ดินก็ยังสร้างตึกอยู่ พูดง่ายๆ คือ อ.ทรงเอ เป็นผู้วานให้ UPA เป็นคนสร้างตึกให้ 
  • ตึกนี้เมื่อสร้างเสร้จแล้ว ได้กลายเป็น ‘ที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ’ บ้านหลังใหม่ของพล.อ.ประยุทธ์ ถึงตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าการตั้ง อ.ทรงเอ เป็น ส.ว.เป็นการตัดสินที่ถูกต้องสำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ 
  • คงไม่น่าแปลกใจถ้าจิ๊กซอว์ของการฟอกเงิน และการค้ายาเสพติด จะหลุดลอยนวลไปได้ และ 4 คนที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้คงจะเป็นมวยล้มต้มคนดู 
  • นอกจากนี้ยังพบข้อมูลด้วยว่า ตุน มิน ลัต คือเจ้าของบริษัทซึ่งมีบทบาทบาทสำคัญ ในการจัดหาอาวุธ ในสนับสนุนการเงินให้กับกองทัพเมียนมา ปัจจุบันทั้งตัวเขาและพ่อเขาอยู่ในบัญชีดำของสหภาพยุโรป พ่อของตุน มิน ลัต เคยเป็นอธิบดีกรมการโรงแรมของเมียนมาเมื่อปี 2542 ผู้ที่เซ็นต์อนุญาตให้ อ.ทรงเอ สร้างโรงแรมขึ้นในท่าขี้เหล็ก ซึ่งอันที่จริงก็คือ บ่อนคาสิโน ที่อาศัยช่องว่างทางกฎหมายไปเปิดติดชายแดนแล้วจัดรถพาคนไทยไปเล่นพนันที่นั่น รวมทั้งมีนักพนันยอมรับกับตำรวจด้วยว่าไปเสพยาบ้าที่นั่น  
  • รายได้ของบ่อนนี้ 6% จ่ายให้กับกองทัพเมียนมาโดยตรง คนที่ยินยอมคือ อ.ทรงเอ นั่นแปลว่า อ.ทรงเอคือ หนึ่งในทุนที่สนับสนุนกองทัพเมียนมาด้วย มากไปกว่านั้น เมื่อตำรวจตรวจสอบทรัพย์ของตุน มิน ลัต ที่อยู่ในไทย พบว่า มีการถือครองสมุดบัญชีธนาคารและสัญญาการซื้อขายคอนโดของลูกชาย ลูกสาว มินอ่องลาย ผู้นำรัฐประหารเมียนมารวมอยู่ด้วย ทรัพย์สินเหล่านี้ได้มาจากเงินค่ายา และเรื่องนี้ ปปส. เองก็ไม่ได้ไปตามยึดหรืออายัติเพิ่มเติม ไม่มีแม้แต่การเรียกเจ้าของทรัพย์สินมาสอบปากคำ นี่แสดงให้เห็นว่า ตุน มิน ลัต ไม่ใช่นักธุรกิจทั่วไป แต่เป็นพ่อค้าอาวุธที่สนิท และดูแลทรัพย์สินให้กับครอบครัวผู้นำเผด็จการเมียนมา 
  • ล่าสุด พล.อ.เฉลิมพล ผบ.ทสส. ก็ได้ไปพบมินอ่องลาย ที่เมียนมา ไปอยู่ด้วยกัน 3 วัน คำถามคือ เขาไปคุยกันเรื่องอะไร เพราะหลังจาก ตุน มิน ลัต ที่เป็นคนสนิทโดนจับ คำตอบคาดได้ว่าเป็นการขอให้ปล่อยตัว ตุน มิน ลัต
  • หาก พล.อ.ประยุทธ์ รู้อยู่แล้วว่า อ.ทรงเอ เป็นใครทำอะไรมาบ้าง แต่ยังตั้งเป็น ส.ว. และช่วยปกป้องกันถึงทุกวันนี้ เพราะหวังผลตอบแทนจากธุรกิจมืดแล้ว ผู้นำเผด็จการเมียนมาก็ไม่ต้องห่วง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีทางทอดทิ้ง ตุน มิน ลัต แน่นอน
  • การทำธุรกิจค้ายาและฟอกเงินข้ามชาติ ทำเพียงชาติใดชาติหนึ่งไม่ได้ ต้องทำกับทั้งสองชาติ และแบ่งผลประโยชน์กันระหว่างผู้มีอำนาจ เมียนมาได้เงินไปซื้ออาวุธให้กับกองทัพ ซึ่งตุน มิน ลัต เป็นนายหน้านำเข้ามาเพื่อใช้สังหารประชาชนในชาติตัวเอง ส่วนไทยได้ทุนรอนสำหรับการสืบทอดอำนาจของพวกกินไม่รู้จักอิ่ม 
ตู้ห่าว - รทสช. -ธรรมนัส : รังสิมันต์ โรม พรรคก้าวไกล
  • ตู้ห่าว เคยมีคดีทัวร์ศูนย์เหรียญที่ภูเก็ต คดีจ้างเผาสวนงูซ้อม รปภ.จนพิการ ซึ่งอัยการสูงสุดขณะนั้น อ่านสำนวนเพียงวันเดียวและสั่งไม่ฟ้อง เมื่อย้ายเข้ากรุงเทพก็มาเปิดผับชื่อ ‘จินหลิง’ ที่เบื้องหลังคือแหล่งมั่วสุมขนาดใหญ่ อัยการสั่งฟ้องไปแล้ว 9 ข้อหา เหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่ก็อาจจะมีปีศาจซ่อนอยู่ในรายละเอียด 
  • เริ่มต้นที่การบุกค้นผับจินหลิง เมื่อ 25 ต.ค.2565 นำโดย ผบ.ชน.ค้นอาคารหลังแรกเจอถาดรองยา หลอดเสพยาก็ปล่อยทิ้งไว้ เจอรถมินิแวนที่ตู้ห่าวใช้ประจำก็ปล่อยทิ้งไว้ ขนาดยาที่เอาไปหลบกันง่ายๆ ที่มุมห้อง มีเวลาพลิกหาเป็นชั่วโมงก็หาไม่เจอ เมื่อค้นอาคารหลังที่สองก็เจอแต่ห้องว่างๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คือบ่อนขนาดใหญ่ ซึ่งบังเอิญที่ถูกเคลียร์ก่อนวันบุกค้น ส่วนอาคารหลังที่ 3 เพิ่งมาค้นอีก 5 วันให้หลัง แม้ผลที่ออกมาจะเอาตัวขึ้นศาลได้ แต่ปีศาจในรายละเอียดบอกกับเราว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาคดีนี้เต็มไปด้วยการแตะถ่วงให้กระแสเงียบ ลักซ่อนและทุบทำลายพยานหลักที่อาจเปลี่ยนผลการตัดสิน
  • การเข้ามาแทรกแซงคดีนี้ได้ มีแต่คนมีเส้นเท่านั้น จึงจำเป็นต้องถามหาความรับผู้ชอบจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้ง ผบ.ชน ผบ.ตร. 
  • ที่สำคัญที่สุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่นิ่งเฉย นั่นอาจเป็นเพราะตู้ห่าว มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลายชายของตัวเองที่เปิดบริษัทรับเหมางานก่อสร้างให้กับกองทัพ แล้วมาปล่อยเช่ารถทัวร์ 33 คันให้กับบริษัทในเครือตู้ห่าว ให้ตู้ห่าวไปขนคนจีนมาเล่นยา คนจึงสงสัยว่าอาจจะเป็นการฟอกเงินหรือไม่ 
  • จีนเทายังเชื่อมโยงกับธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะเป็นมือไม้ให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ธรรมนัสและตู้ห่าวมีความสนิทสนมกันถึงขั้นมีการถ่ายรูปร่วมกันในบ้าน งานวันเกิดภรรยาธรรมนัส 
  • นอกจากนี้ธรรมนัสยังเลี้ยงจีนเทาไว้อีกหลายคน เช่น จางเจียงฟู , เกาฉี , เฉินเฟิงเชา สามคนนี้มีที่อยู่เดียวกันคือ บ้านเลขที่ 888 ถนนอโศก ดินแดง ซึ่งเป็นโฉนดของธรรมนัส และเป็นที่ตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ชื่อว่า TP Guard (ธรรมนัสการ์ด) ซึ่งปัจจุบันยังถือหุ้นใหญ่โดยภรรยาของธรรมนัส อยู่ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา และได้ผลัดกันถือหุ้นในบริษัท China Kingdom เพื่อเป็นนอมีนิให้กับธรรมนัส 
  • ทั้งสามคนได้ร่วมกันสร้างบริษัทขึ้นมาอีกบริษัทหนึ่ง ชื่อ ‘ท็อป วัน’ ซึ่งมีคนจีนไปเสพยาจนช็อคตาย เมื่อเกิดเรื่อง จางเจียนฟูรีบบุกไปคอนโดผู้ตาย เอาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ไปเผาทำลายไม่ให้เหลือหลักฐาน และผู้กำกับ สน.สุทธิสาร ก็ปล่อยเรื่องเงียบเป็นเดือน จนทางการจีนเริ่มกดดัน นอกจากจาง เจียนฟูยังเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งคอลเซอร์เตอร์ที่หลอกลวงประชาชนทั้งไทยและจีนด้วย
  • เรื่องนี้เป็นที่รู้มาแต่ไหนแต่ไรว่า ธรรมนัสเป็นพวก ‘เทาบางส่วน แต่ดำอีกหลายส่วน ขาวอย่างเดียวคือแป้ง’ และประยุทธ์เองก็ชิงชังธรรมนัสอย่างออกหน้าออกตา แต่พอมีคดีจีนเทาเกิดขึ้น กลับไม่คิดที่จะสอบสวนหรือขยายผลมาที่ธรรมนัส 
  • คำตอบคือ เมื่อเดือน พ.ค.2564 ในวันที่ธรรมนัสยังเป็นรัฐมนตรี และอยู่พรรคพลังประชารัฐ ในวันที่พล.อ.ประยุทธ์ กับพล.ประวิตร ยังดีๆ กันอยู่ มียอดเงินบริจาคเข้าพรรค 3 ล้านบาทจากตู้ห่าว ส่วนอีกคนที่บริจาค 3 ล้านเช่นกันคือ ‘สิทธิกร’ คนนี้ถูกออกหมายจับไปพร้อมกับเครือข่ายจีนเทารายอื่นๆ เหมือนกัน คนนี้สนิทกับธรรมนัสมากเพราะในเฟซบุ๊กเขามีเพื่อน 39 คน หนึ่งในนั้นมีธรรมนัสอยู่ด้วย 
  • ในปี 2565 มียอดบริจาคให้กับพลังประชารัฐและเศรษฐกิจไทย เรียกว่า ธรรมนัสอยู่ไหน สิทธิกรก็จ่ายให้ที่นั่น แสดงให้เห็นว่าธรรมนัสมีบทบาทสำคัญในการดึงเอาจีนเทาเข้ามามีเอี่ยวในการสนับสนุนทางการเงินให้กับรัฐบาลผ่านพลังที่เป็นแกนนำ ธรรมนัสจึงเป็นมือประสานผลประโยชน์ ต่อให้พล.อ.ประยุทธ์ จะเกลียดแค่ไหนก็ตัดขาดไม่ได้ 
  • จีนเทาอีกคน ซึ่งเคยถ่ายรูปติดยศทหารพันเอก ขับรถติดสติกเกอร์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. มีคฤหาสน์ใหญ่โตไม่แพ้ตู้ห่าว ปัจจุบันหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่อดีตเคยเข้าไปถ่ายรูปกับพล.อ.ประวิตร ที่บ้านรอยต่อ โดยธรรมนัสน่าจะเป็นผู้ประสานให้พบกัน 
  • ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการสอบสวน การดำเนินคดีจึงจบอยู่แค่ตู้ห่าว ทั้งที่ยังมีผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนมาก 
  • มากไปกว่านี้ยังมี เซาเซียนโป ที่ถูกแจ้งข้อหาแจ้งข้อมูลเท็จในการออกบัตรประชาชน และเอกสารราชการ มีหมายจับอยู่ที่ปัตตานี แต่เพิ่งจับได้เมื่อไม่กี่เดือนก่อน และยังมีการปลอมรถตัวเองให้เหมือนรถของคณะทูต มีรถนำขบวนมาครบ เมื่อตำรวจไปค้นสำนักงานที่ตึก BBD ถนนวิภาวดี เจอเครื่องแบบตำรวจทหาร และอ้างตัวเองว่าเป็นที่ปรึกษาพ่อค้าจีนในพระบรมชูปถัมภ์ เมื่อตำรวจไปค้นบ้านที่ลำลูกกาพบแอบขนเหล้าเบียร์หนีภาษี โดยเซาเซียนโปมีความสนิทกับ พล.อ. ธ. น้องรักของพล.อ.ประวิตร และเคยพบ และถ่ายรูปร่วมกับอนุชา นาคาศัย ด้วย 
  • จีนเทาที่เข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมาย ยังมีกลุ่มที่ตั้งที่มั่นอยู่ติดชายแดนไทยด้วยเพื่อหลอกเอาเงิน และแรงงานเพื่อธุรกิจมิจฉาชีพของตัวเอง มีเหยื่อรายหนึ่งเจอประกาศรับสมัครเซลล์ขายคริปโต แต่เมื่อไปจริงกลับถูกกลุ่มติดอาวุธนำตัวไปอยูในค่ายกักกันในเมืองเมียวดีที่สร้างโดยจีนเทา และถูกบังคับให้หลอกเงินจากคนต่างชาติ เป็นการร่วมมือกันระหว่างคนไทยกับคนจีน และไม่ได้มีเพียงการหลอกไปทำงาน แต่มีทั้งยาเสพติด หลอกไปขายตัว มีหลายคนที่กำลังเจอปัญหาร้ายแรงแบบนี้ในอีกหลายประเทศ 
  • นอกจากนี้ยังมีบริษัท หย่าไถ่ นิวซิตี้ มีเจ้าของคือ เสอจ่อเจียง หน้าฉากมีการโฆาณาชวนเชื่อว่าทำสมาร์ทซิตี้บนเนื้อที่ 7 หมื่นไล่ วงเงินลงทุนคือ 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สร้างภาพว่าตนเองเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่สถานที่นี้กลับเต็มไปด้วยสิ่งผิดกฎหมาย นอกจากนี้ยังอีกโครงการชื่อ KK Park ซึ่งสำนักข่าวในจีนรายงานว่าเป็นปลายทางของการค้ามนุษย์ เหยื่่อที่ถูกใช้งานจนหมดประโยชน์จะถูกตัดเอาอวัยวะออกมาทั้งที่มีชีวิตอยู่เพื่อเอาไปขาย ส่วนร่างที่ถูกใช้จนหมดประโยชน์จะถูกโยนทิ้ง นี่คือนรกบนดินที่เข้ามาประชิดชายแดนไทย 
  • ที่น่ากลัวคือ มีความพยายามของบริษัทนี้เข้ามาตั้งโครงการในประเทศไทย ทั้งแม่สอดและกรุงเทพฯ  ด้วยเส้นสายที่มีกับพรรคการเมือง เคยเข้ามาปรากฎตัวในที่ประชุม กมธ.เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ เมื่อ 28 เม.ย.65 แทบไม่น่าเชื่อว่าองค์กรที่อันตรายขนาดนี้จะเข้ามามีบทบาทในสภาได้ 
  • ยังดีที่เดือน ส.ค.65 ที่ผ่าน เสอจ่อเจียง ถูกจับกุมตามหมายแดงของประเทศจีน แต่ไม่ได้หมายความว่าอาชญากรรมจะหมดสิ้นไป เพราะบริษัทยังคงอยู่ ยังมีคนรายล้อมรอบตัวเขาอีกมากที่ยังลอยนวล คนหนึ่ง คือ หยูซินฉี ระบุตัวว่าเป็นประทานสมาคมแห่งหนึ่งในไทย ใช้ชื่อว่า ‘สมาคมมณฑลส่านซี’ และได้มอบตำแหน่งให้ เสอจ่อเจียง เป็นประธานกิตติศักดิ์ของสมาคมด้วย ในเดือน ส.ค.63 สองคนนี้พบกันในกรุงเทพฯ โดย หยูซินฉี ได้แสดงออกอย่างหนักแน่นในการสนับสนุนโครงการ  KK Park  
  • สมาคมส่านซี เปิดเมื่อวันที่ 18 ต.ค.60 เปิดให้บริการแนะนำการลงทุน การซื้ออสังหาฯ ช่วยคนจีนจดทะเบียนบริษัทในไทย ติดต่อนัดพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ช่วยเหลือการขอวีซ่า แต่เมื่อค้นฐานข้อมูลสมาคมในประเทศกลับพบว่า ไม่มีชื่อสมาคมนี้อยู่ในระบบ นี่คือสมาคมเถื่อน และยังมีการเปิดโรงเรียนธุรกิจที่ชื่อ เอเชียนสตาร์ ซึ่งไม่มีการจดทะเทียนตามกฎหมาย นี่คือช่องทางในการที่จีนเทาจัดทำวีซ่าเข้าประเทศในฐานะนักเรียนปลอมๆ ในปี 2563-2564 มีจีนเทาเข้ามาแล้วกว่า 7 พันคน 
  • สิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับกรณี หยูซินฉี คือการสร้างโปรไฟลตัวเองว่า ได้รับการตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านกิจการจีนของเชื้อพระวงศ์ไทย และนายพลราชองครักษ์ ซึ่งเมื่อตรวจสอบดูแล้วเป็นเพียงแค่หม่อมราชวงศ์ที่ถือว่าเป็นสามัญชน ส่วนนายพลก็มีเพียงแค่การจ้างเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้กับนายพลธรรมดา นี่คือการเอาเรื่องธรรมดามาบิดให้เกินจริงเพื่อปั่นราคาตนเอง นอกจากนี้ยังมีการไต่ระดับการสร้างโปรไฟล์ของตัวเองโดยมีถ่ายตัวเองกับทหาร ตำรวจ ระดับสูง ไล่มาจนได้ถ่ายภาพกับพล.อ.ประยุทธ์ องคมนตรี สมเด็จพระสังฆราช รวมทั้งอ้างว่าตนเองได้รับเกียรติให้เข้าไปพบกับราชวงศ์ไทย ได้รับความไว้วางใจจากราชวงศ์ด้วย
  • การที่เมียนมาเทา-จีนเทา เติบโตได้มากมายขนาดนี้เป็นเพราะพวก ‘ไทยเทา’ ที่เปิดบ้านรับโจรให้เข้ามาปล้นประเทศตลอด 8 ปี ไทยเทาพวกนี้แฝงตัวอยู่ทั้งในกลุ่มตำรวจ ทหาร ศาล และราชการทุกสำนัก สูบเอาผลประโยชน์จากคนไทยด้วยกันเอา แสวงหาอำนาจจนได้เป็นถึง ส.ว. รัฐมนตรี เป็นถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อต่อยใช้อำนาจปกป้องลูกน้องไทยเทาของตัวเองต่อไป ตราบใดที่ยังมีพวกไทยเทาแบบนี้อยู่ ไม่มีวันแก้อาชญากรรมในชาติ-ข้ามชาติเหล่านี้ได้
รัฐบาลแห่ง ‘ยาเสพติด’ : ชนก จันทาทอง และ มนพร เจริญศรี พรรคเพื่อไทย
  • 1 ใน 12 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ คือการแก้ไขปัญหายาเสพติด 
  • สถิติการจับกุมยาเสพติดในประเทศไทยในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ถือว่าสูงที่สุด เพราะสามารถจับกุมยาอีได้มากถึง 22,000 กิโลกรัม ยาบ้า 592 ล้านเม็ด ซึ่งมากที่สุดในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • ปริมาณยาเสพติดมีจำนวนมากและหาซื้อได้ง่าย ประชาชนต่างรับรู้แม้แต่ในชีวิตประจำวัน ยาเสพติดมีราคาแค่ 7 บาทหรือเท่ากับราคามาม่า 1 ห่อ และส่งผลให้ 'ผู้เสพหรือผู้ป่วย' มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น 
  • ซ้ำเติมด้วยนโยบายกัญชาเพื่อเอื้อกัญชาเสรี คนจำนวนมากไม่ได้ใช้เพื่อการแพทย์ แต่เพื่อสันทนาการ ทั้งกิน ดื่ม เสพ ทำให้เรามีผู้ติดกัญชาในฐานะผู้ป่วเยพิ่มมากขึ้น 
  • ปี 2564 ผู้ป่วยจิตเวชมีทั้งหมด 3,988,282 คน จากตัวเลขนี้ มีผู้ป่วยจากการใช่สารเสพติดถึง 15% หรือมากกว่า 622,172 คน
  •  ในจำนวนนี้พบว่า มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาครบ 1 ปี เพียง 57.94%  หรือ 360,486 คนและมีผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้าบำบัดต่อเรื่องถึง 42.06% หรือ 261,686 คน 
  • สถิติจำนวนผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้สารเสพติดและมีแนวโน้มก่อความรุนแรง พบว่า มีผู้เข้ารับการรักษาต่อเนื่องครบ 1 ปี 52.82 % ( 28,250 คน) ส่วนผู้ที่ไม่ได้เข้ารับการบำบัดต่อเนื่อง มี 47.18% (25,234 คน)
  • นั่นหมายความว่า รัฐบาลพลเอกประยุทธ์กลับไม่มีระบบบำบัดฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพรองรับ 
  • งบประมาณการป้องกันปราบปรามและฟื้นฟูยาเสพติดพบว่า ปี 2564 ได้รับงบ 6,129 ล้านบาท ปี 2565 ได้งบเพียง 4,281 ล้านบาท ลดลงถึง 30% จากปีก่อนหน้า
  • ส่วนงบของกระทรวงสาธารณสุขที่ต้องรับผิดชอบบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยจิตเวชที่เพิ่มสูงขึ้น ได้รับงบในปี 2564 เพียง 1,058 ล้านบาท ส่วนปี 2565 ได้รับงบ 744 ล้านบาท ลดลงเกือบ 30% หรือ 314 ล้านบาท 
  • ด้านโครงการติดตามผู้เข้าบำบัดยิ่งหนักไปใหญ่ เพราะได้รับงบแค่ 10 ล้านบาทในปี 2565 ส่วนโครงการบำบัด รักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพ ได้รับงบแค่ 219 ล้านบาท ซ้ำร้าย จิตแพทย์ที่เป็นบุคลากรสำคัญกลับได้รับงบแค่ 60 ล้านบาท 
  • สรุปได้ว่า รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ แม้จะประกาศนโยบายเร่งด่วนด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด แต่จำนวนคดี และจำนวนยาเสพติดกลับไม่ได้ลดลงตลอด 8 ปีที่ผ่านมา นักโทษยังล้นเรือนจำ งบประมาณที่ใช้ก็พุ่งสูง สวนทางกับผลลัพธ์ที่ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 รวมอภิปรายครั้งสุดท้าย 1 : เศรษฐกิจมหภาคเหลว ถดถอยจนไปแข่งกับลาว-เมียนมา

รวมอภิปรายครั้งสุดท้าย 2 : 'ฮั้ว' เฟื่องฟู หลานนายกฯ ถึงปลัดมหาดไทย-ขบวนการ E-Bidding

รวมอภิปรายครั้งสุดท้าย 3 : กำไรปตท.ภาระค่าไฟประชาชน โรงไฟฟ้าชุมชนก็ปลอม

รวมอภิปรายครั้งสุดท้าย 5 : ส่วนต่างรถไฟฟ้าสีส้ม 6.8 หมื่นล้าน-เร่งขยายสัมปทานทางด่วน

รวมอภิปรายครั้งสุดท้าย 6 : ความไม่คืบหน้า ‘จ่าคลั่ง’ กราดยิงโคราช-เค้กเรือหลวงสุโขทัย

รวมอภิปรายครั้งสุดท้าย 7 : กอ.รมน.รัฐซ้อนรัฐ รัฐประหารวางรากฐานจนปัจจุบัน