19 พ.ย. 2566 นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เศรษฐา ทวีสิน กล่าวปาถากฐาพิเศษ ในหัวข้อ ‘The time to act is now พลิกวิกฤต ฟื้นเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน’ ในพิธีปิดงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 41 ในโอกาสครบรอบ 90 ปี หอการค้าไทย ณ ห้องภิรัชฮอลล์ 1 – 3 ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
เศรษฐา กล่าวว่า วันนี้มีความยินดีหลังจากบินกลับมา และเป็นเรื่องที่ผมต้องมาพูดคุยกับทุกคน และสปีชที่สำนักนายกฯเตรียมไว้ให้ยังไม่โดนใจเท่าไร เพราะการไปพบปะพูดคุยกับภาครัฐภาคเอกชนที่เวทีเอเปคในครั้งนี้ มีเรื่องดีๆ ที่จะต้องมาเล่าสู่กันฟัง และไม่ขอย้อนไปไกลมากถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว วันนี้ทราบดีอยู่แล้วว่าสภาพเศรษบกิจไทยเป็นอย่างไร
เรื่องดิจิตอลวิเล็ต ที่มีทั้งผู้เห็นด้วยและผู้ไม่เห็นด้วยอย่าง เจ้าสัวธนินทร์ ก็แสดงความคิดเห็นออกมา ซึ่งจริงๆ ปัจจัยหลักสั้นๆ ง่ายๆ คือเร่งด่วน จำเป็น วิกฤตหรือไม่ บางคนเห็นว่าไม่จำเป็นไม่เร่งด่วน แต่รัฐบาลนี้เห็นว่าจำเป็นเร่งด่วน เพราะสภาพเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะวิกฤต บางคนบอกว่าวิกฤต จีดีพีต้องติดลบ แต่ท่านไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เราอยู่บนโลกของการแข่งขันที่สูงมาก ถ้าหากย้อนกลับไปดูจีดีพีของประเทศคู่แข่งอย่างมาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเขาเติบโต และตนเชื่อว่าเราไปไกลได้มากกว่านี้ โดยช่วง 9 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่า 2%
"พักหนี้ไปแล้ว13หน ให้กับเกษตรกร พักแล้วพักอีกต่อไป ซึ่งเกษตรกรเขาก็อยากภาคภูมิใจ อยากมีตลาดที่ดีขึ้น มีนวัตกรรมใหม่ทางการเกษตรเพื่อให้เกิดผลที่ดีขึ้น แต่เราเองก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลนี้ที่อาสาเข้ามาแก้ไขปัญหาและต้องทำให้ได้"
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า สองเดือนที่ผ่านมาจัดการไปแล้วทั้งพักหนี้เกษตรกร ลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน รวมไปถึงการฟรีวีซ่าให้กับหลายประเทศ ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนที่เราดำเนินการ
รัฐบาลนี้รัฐมนตรีทุกท่านทำงานหนักลงรายละเอียดทุกเม็ดเพื่อก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจดิจิทัลก็เป็นนโยบายหนึ่ง ยืนยันว่าหลังจากที่ได้ไปประชุมเอเปค ทุกประเทศอยากมาลงทุนในไทย
นายกฯ กล่าวว่า หลังจากที่ตนเองเดินทางไปหลายประเทศทั้งในอาเซียนและสหรัฐอเมริกา เป็นที่ประจักษ์ว่าประเทศไทยเป็นที่ต้องการของชาวโลก ทุกคนอยากมาลงทุนในประเทศไทย หรืออย่างน้อยก็มีประเทศไทยเป็นตัวเลือก การเดินทางไปต่างประเทศ ประเทศไทยไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่มาเพื่อค้าขาย มีมาตรการต่างๆ มากมายที่จะรองรับนักลงทุน เช่น มาตรการด้านภาษี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เรื่องของ FTA ประเทศไทยมีการเจรจาเรื่องนี้น้อยมาก ยังคงล้าหลังอยู่ดังนั้นเรื่องนี้ จะเป็นอีกหนึ่งประเด็นหลักที่จะเดินหน้าเรื่องนี้กับนานาประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ลมปากอย่างเดียวไม่สามารถดึงดูดให้นักลงทุนมาลงทุนได้ แต่ต้องเดินทางไปพูดคุยและเจรจาและทุกฝ่ายต้องช่วยกัน แม้หลายคนอาจจะมองว่าการไปประชุมเอเปคไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง แต่ตนไม่มองอย่างนั้น ประเทศไทยสามารถก้าวไปได้อีก ขณะเดียวกันรัฐบาลก็สนับสนุนเรื่องของการท่องเที่ยวเมืองรองด้วย แต่จะทำแบบนั้นได้ต้องอาศัยหลายปัจจัย รัฐบาลจึงต้องมีการลงทุนโดยเฉพาะเรื่องของการคมนาคม มีการขยายสนามบินในพื้นที่เมืองรอง จึงอยากให้ภาคเอกชนเสนอว่าต้องการการสนับสนุนอะไรจากรัฐบาล การพัฒนาเมืองรองเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้จะทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
นายกรัฐมนตรี ยังพูดถึงเรื่องปัญหาหนี้สิ้น ด้วยว่า หนี้นอกระบบ เป็นปัญหาสำคัญที่สุด เพราะเป็นหนี้ที่กัดกร่อนสังคมไทยมายาวนาน ดังนั้นจึงมีนโยาบที่จะให้นายอำเภอและผู้กำกับ เรียกลูกหนี้กับเจ้าหนี้มาเจรจาพูดคุยกัน เพราะหนี้นอกระบบดอกเบี้ยแพงมาก จึงต้องเจรจาเพราะหากมีการชาร์จดอกเบี้ยเกินอัตราที่กำหนดก็เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะฉะนั้นหนี้ที่มีอยู่ต้องยกเลิกกันไป นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้และเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ และต้องทำร่วมกับกระทรวงการคลัง ฝ่ายความมั่นคง เพราะหนี้นอกระบบเป็นที่มาของการการก่ออาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นได้ บางคนทำงานมาอย่างหนักเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้นอกระบบ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะประกาศในช่วงต้นเดือนหน้าในการแก้ไขปัญหา ส่วนหนี้ในระบบก็มีอยู่เยอะ ก็จะประกาศแนวทางที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาต้นเดือนนี้เช่นกัน เพื่อเป็นความหวังกับประชาชน
"ไม่ใช่ทำงานแล้วมาใช้แต่หนี้ๆ เพราะหลายคนเสียโอกาสในการทำมาค้าขาย เราทุกคนมีสินค้าทมีการบริการ มีแรงบันดาลใจที่ดีมาก แต่หลายคนเป็นหนี้อยู่เยอะมาก กำลังใจในการทำงานแทบไม่เหลือแล้ว จึงถือเป็นวาระแห่งชาติ และดีใจที่พรรคร่วมรัฐบาลทุกคนตระหนักดีถึงเรื่องหนี้สิน"
อีกเรื่องที่สำคัญคือเรื่องของการเกษตร ซึ่งพี่น้อเกษตรกรได้รับการพักหนี้ไปแล้ว10 กว่าหนใน 9 ปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่เห็นแสงสว่าง นโยบายเราชัดเจนว่าต้องเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ตนเองเดินทางไปต่างประเทศก็ไปพูดคุยมาโดยตลอด เหตุผลหนึ่งที่ภาคเกษตรไม่เติบโต เพราะเราไม่ได้มีการไปเปิดการค้าระหว่างประเทศกับหลายๆ ประเทศ ไม่มีการพูดคุย
"บางคนพูดบอกผมเป็นนายกๆ เป็นเซลล์แมน พูดจาในลักษณะด้อยค่า ผมไม่มายด์หรอกครับ ผมยอมรับว่า ผมเป็นเซลล์แมนครับ ผมต้องไปขายสินค้าให้คนไทย"
นายกฯ ยังกล่าวอีกว่า ในไตรมาสแรกของรัฐบาลปีหน้าจะมีการเปิดรายละเอียดการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร โดยเริ่มจากโครงการ'ไม่ท่วมไม่แล้ง' และจะเอาสินค้าไปขายที่ไหน ส่วนช่วงกลางไม่ต้องพูดถึง รวมถึงการเพิ่มผลิตผลของยางก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้องค์ความรู้ ภารกิจของรัฐบาลนี้มีอยู่เยอะมาก
"รัฐบาลนี้ทุกท่าน และนักธุรกิจทุกคน เราจะเดินทางไปด้วยกันในเวทีโลก รัฐบาลนี้จะไม่กลัวการครหานินทาว่าจะเอื้อนาย ก.นาย ข. ในการทำการธุรกิจต่างประเทศ ถ้ามีปัญหาอะไรเกี่ยวกับโครงสร้างของประเทศในการผลักดันแก้ไข เราจะช่วยกัน แต่ผมจะไม่ทราบว่าปัญหาคืออะไร ถ้าท่านไม่เดินทางไปด้วยกัน และยินดีที่จะให้นักลงทุนเดินทางไปกับผม”
นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยด้วยว่า ในช่วงกลางเดือนหน้าจะเดินทางไปที่ญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมประชุมอาเซียนเจแปน โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่า พูดอย่างไม่อายว่าเราเป็นหนี้บุญคุณญี่ปุ่นอยู่เพราะตลอด 50 ปี เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีฐานผลิตอยู่ในไทยมากที่สุดประเทศหนึ่ง ดังนั้น การเดินทางไกลนี้ก็จะไปแสดงความพร้อมของไทยและจะสนับสนุนในทุกด้านสำหรับการลงทุนในไทยของญี่ปุ่น รวมถึงการอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่าฟรีให้กับนักธุรกิจญี่ปุ่น และยินดีที่จะนำนักลงทุนของไทยร่วมคณะไปกับรัฐบาล ในการเดินทางเยือนต่างประเทศเพื่อพบกับนักธุรกิจในประเทศนั้นๆ