ไม่พบผลการค้นหา
เนื่องในวันหยุดเขื่อนโลก ชาวบ้านจากลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน เยาวชน และเด็กนักเรียนหลายร้อยคน ร่วมจัดงานสืบชะตาแม่น้ำสาละวิน และคัดค้านการสร้าง 'เขื่อนผันแม่น้ำยวม' โปรเจกต์มูลค่ากว่า 1.7 แสนล้านบาท

14 มีนาคม ของทุกปี คือวันหยุดเขื่อนโลก (International Day of Actions for Rivers) กำหนดขึ้นหลังจากการประชุมผู้เดือดร้อนจากเขื่อนทั่วโลกครั้งแรก ที่เมืองคูริทิบา บราซิล เป็นอีกหนึ่งวันที่ทำให้เราต้องย้อนกลับไปมองเรื่องของเขื่อน และตระหนักต่อความสำคัญของแหล่งน้ำ ตลอดจนทิศทางการพัฒนประเทศและผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ

ในวันนี้ ที่หมู่บ้านสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้มีการจัดกิจกรรม โดยมีชาวบ้านจากลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน เยาวชน และเด็กนักเรียนหลายร้อยคนเข้าร่วม

พิธีกรรมสืบชะตาแม่น้ำสาละวินครั้งนี้ชาวบ้านได้นำเหล้าพื้นบ้านและเนื้อหมูมาเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิที่คุ้มครองแม่น้ำ นอกจากนี้ยังมีการลอยแพไม่ไผ่ที่มีป้ายเขียนว่า “NO DAM” ลอยไปตามลำน้ำเพื่อสะท้อนถึงจุดยืนคัดค้านเขื่อน ขณะที่ตัวแทนชาวบ้าจากลุ่มน้ำต่างๆได้อ่านแถลงการณ์คัดค้านการสร้าง 'เขื่อนผันแม่น้ำยวม' ในโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้แก่เขื่อนภูมิพล และแสดงเจตนารมณ์คัดค้านการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำสาละวิน และเสนอมให้ปกป้องแม่น้ำสาละวินให้ไหลอย่างอิสระ

น้ำแม่ยวม มีต้นกำเนิดที่อำเภอขุนยวม ไหลผ่านอำเภอแม่ลาน้อย อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน มาบรรจบกับแม่น้ำเงา ที่บ้านสบเงา ตำบลแม่สอด อำเภอสบเมย และไหลไปบรรจบกับแม่น้ำเมยที่บ้านสบยวม ตำบลแม่สามแลบ ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำสาละวิน

บริเวณที่แม่น้ำยวมและแม่น้ำเงาไหลมาบรรจบกันนั้น ชาวบ้านในพื้นที่เรียกขานว่าแม่น้ำสองสี อันเป็นหมุดหมายของโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ‘โครงการผันน้ำยวม’

สำหรับ ‘โครงการผันน้ำยวม’ คือโครงการเมกะโปรเจกต์ภายใต้การชงของ ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีนั่งเก้าอี้ ประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) เป็นโครงการที่จะผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำยวมตอนล่างมายังเขื่อนภูมิพล ด้วย ประกอบด้วยเขื่อนกั้นแม่น้ำยวมความสูง 69 เมตร ในอำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำ 2,075 ไร่ ปริมาตรเก็บกักประมาณ 68 ล้านลูกบาศก์เมตร, สถานีสูบน้ำบ้านสบเงา เพื่อสูบน้ำผ่านอุโมงค์ส่งน้ำคอนกรีตซึ่งมีความยาว  62 กิโลเมตร เจาะทะลุผืนป่ารอยต่อ 3 จังหวัด โดยผ่านอุทยานแห่งชาติ 1 แห่ง และป่าสงวน 6 แห่ง  ได้แก่ ป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าสองยาง จังหวัดตาก ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ยวมฝั่งขวา จังหวัดแม่ฮ่องสอน ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ยวมฝั่งซ้าย จังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ ป่าสงวนแห่งชาติป่าอมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่แจ่ม-ป่าแม่ตื่น จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานแห่งชาติแม่เงา จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ในช่วงเดือนมีนาคม 2565 มีการประชุมสรุปผลการศึกษา โครงการศึกษาวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (4Ps) โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล โดยผู้แทนกรมชลประทานนำเสนอผลการศึกษาว่าก ารพัฒนาร่วมทุนจะเป็นรูปแบบ Public Private People Partnership (4Ps) ให้เกิดการร่วมมือกันระหว่าง ๓ ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป

ซึ่งในเอกสารการประชุม ยังระบุด้วยว่า มูลค่าการลงทุน ค่าใช้จ่ายโครงการ การดำเนินงาน และบำรุงรักษา จะอยู่ที่ราว 1.7 แสนล้านบาท

ยอดชาย พรพงไพร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สวด กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้เพื่อสร้างเขื่อนเติมน้ำในเขื่อนภูมิพล แต่ความเป็นจริงพื้นที่โครงการนี้จะเปลี่ยนวิถีชีวิตประชาชนในพื้นที่มหาศาล เพราะจะเกิดผลกระทบต่อทรัพยากรคน ป่าไม้ สัตว์ป่าและน้ำ แต่หากไม่มีเขื่อนสิ่งเหล่านี้จะอยู่ด้วยความปลอดภัย เราต้องการบอกไปยังรัฐบาลว่าโครงการผันน้ำยวมส่งผลกระทบมาก ที่นี่เราสร้างถิ่นฐานตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอมีความซื่อสัตย์ อนุรักษ์ทรัพยากร เราอยู่ที่ไหนที่นั่นก็มีป่า เราอยากให้คนภายนอกได้รับรู้

“โครงการผันน้ำควรยุติ เพราะไม่คุ้มค่ากับคนในพื้นที่ และทรัพยากรที่อยู่กับชาวบ้านมีมูลค่าไม่น้อยกว่าโครงการ โดยขณะนี้ชาวบ้านใน อ.แม่สะเรียง ก็ได้เริ่มตื่นตัวเรื่องนี้เพราะจะได้รับผลกระทบ พวกเราต้องต่อสู้ แม้ตนเป็นนักการเมือง 4 ปี แต่ก็จะต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและไม่ต้องการให้เกิดความเหลื่อมล้ำ”

ชาวบ้านจากบ้านแม่เงา ได้ร่วมกันอธิบายถึงวิถีชีวิตที่อาจได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อนแม่น้ำยวม โดยระบุว่าหมู่บ้านแม่เงามีอายุมากกว่า 200 ปี มีทั้งเจดีย์และศาลเจ้าพ่อเก่าแก่ มีแม่น้ำยวมและแม่น้ำเงาเป็นหลัก สมัยก่อนมีการทำเหมืองแร่ แต่ปี 2530 ได้มีการปิดเหมืองแร่และคนงานได้อพยพมาอยู่บ้านแม่เงา ทุกคนช่วยกันรักษาป่าและน้ำ วิถีชีวิตของชาวบ้านแม่เงาแตกต่างจากที่อื่นคือไม่มีนา แต่อาศัยป่าและน้ำ หาเห็ดถอบ หัวบุก ซึ่งมีมูลค่าเช่นเดียวกัน

“แม่น้ำที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เพราะอยู่ต่ำ ปลามีถิ่นอาศัยเฉพาะอยู่ในแต่ละจุด เช่น วังน้ำ ชายหาด ถ้าแม่น้ำที่นี่ไม่มีป่าเราก็ไม่รู้จะอยู่กันอย่างไรเพราะชาวบ้านต่างพึ่งพาสิ่งเหล่านี้ เรามีห้วยกุ้งที่ไม่เหมือนที่อื่น ลำห้วยนี้มีกุ้งทุกฤดู หากมีเขื่อน แม่น้ำก็จะเปลี่ยนไป” ชาวบ้านกล่าว

ด้าน ชาวบ้านปลายน้ำจากหมู่บ้านแม่งูด ตำบลนาคอเรือ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ได้อธิบายถึงผลบกระทบหากมีการก่อสร้างปากอุโมงค์ผันน้ำสู่เขื่อนภูมิพล ว่าชาวบ้านได้ใช้น้ำจากห้วยแม่งูดในการรดสวนลำไย ระบบนิเวศของห้วยแม่งูดในหน้าแล้งเห็นแต่ทราย แต่เมื่อขุดลงไปจะมีน้ำ เป็นลำธารใต้ดิน เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร ระบบนิเวศริมห้วยมีพืชผัก ในป่าก็มีของป่ามากมาย ชาวบ้านเลี้ยงวัว ขายขี้วัว มีราคาดี พ่อค้าจากข้างนอกมารับซื้อ ลำไย เป็นพืชเศรษฐกิจหลักของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้ รายได้แต่ละปี พอเลี้ยงชีวิตและครอบครัว ที่น่าแปลกใจคือ ในรายงานอีไอเอโครงการผันน้ำ ไม่ได้ระบุถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านและพืชพรรณต่างๆ 

สิงคาร เรือนหอม ชาวบ้านแม่เงากล่าวว่าเรื่องประวัติศาสตร์ของชุมชน ในรายงานอีไอเอไม่ได้เขียนไว้เลย บ้านตนอยู่ที่นี่มาก่อน รายงานเขียนไว้ว่าวัดสร้างมา 10 ปี แต่ความจริงชาวบ้านที่นี่อยู่มาก่อนนั้นแล้ว ในประเด็นระบบนิเวศป่า ในรายงานอีไอเอก็เขียนไม่ตรง เขียนว่าจะเอาน้ำมาให้ชาวบ้านทำการเกษตร แต่ชาวบ้านไม่มีนา พึ่งพารายได้จากป่าเท่านั้น รายงานระบุว่ามีปลาเพียง 30 ชนิด  แต่ชาวบ้านมานั่งนับแล้ว มีปลาในแม่น้ำเกิน 60 ชนิด

ภายในงานยังได้มีการจัดเวทีเสวนา โดย หาญณรงค์ เยาวเลิศ ประธานมูลนิธิบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ กล่าวว่ารายงานอีไอเอไม่รอบคอบและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง โครงการผันน้ำงบประมาณกว่า 1.7 แสนล้านบาท ไม่มีเงินลงทุนแต่รายงานกลับได้รับการอนุมัติ  ขณะที่คณะกรรมการลุ่มน้ำก็ยังไม่มีการอนุมติว่าจะมีการผันน้ำจากลุ่มน้ำสาละวิน การผันน้ำข้ามลุ่มต้องแจ้งและขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการทั้งสองลุ่มน้ำ ที่สำคัญโครงการนี้เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ 

“ที่ อ.อมก๋อย การก่อสร้างอุโมงค์ จะต้องมีดินมากองในที่ดินชาวบ้าน เศษดินนับล้านคิว จะเกิดอะไรกับชาวบ้าน แล้วไปบอกกว่าชาวบ้านอยู่ในเขตป่าสงวน เขาบอกว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับชาวบ้าน ไหนจะมีจุดพักคนงาน ถนนขนดิน แต่ในรายงานอีไอเอไม่ได้เขียนไว้เลย ที่สำคัญคือต้องไม่เข้าไปเกี่ยวกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในรายงาน”

ผศ.มาลี สิทธิเกรียงไกร คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่าโครงการนี้ใหญ่มาก แต่เมื่อเราลงพื้นที่ปรากฏว่าชาวบ้านไม่ทราบมีโครงการนี้ มาทราบเมื่ออนุมัติอีไอเอแล้ว โดยกรมชลประทานเข้ามาชี้แจง 2-3 ชั่วโมงแล้วกลับโดยไม่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านตั้งคำถามว่าสิ่งที่ชาวบ้านต้องสูญเสียจะเป็นอย่างไร ในอีไอเอบอกว่าที่แม่เงามีบ้านที่ได้รับผลกระทบ 4 หลัง เป็นไปได้อย่างไร กระบวนการทำอีไอเอถ้าได้ฟังความคิดเห็นและลงพื้นที่จริง แต่กลับไม่มีบริบทประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม อีไอเอควรมีข้อมูลหนักแน่นกว่านี้ 

ผศ.มาลี กล่าวว่า รัฐบาลควรทบทวนโครงการนี้โดยเฉพาะการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมควรจัดทำใหม่ เพราะในอีไอเอฉบับเก่าไม่ครอบคลุมโดยเฉพาะความสูญเสียของชาวบ้าน 

“คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติควรลงมาดูพื้นที่ด้วยตัวเองเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าสิ่งที่เขียนไว้ในอีไอเอเป็นอย่างที่เสนอหรือไม่ มิฉะนั้นจะก่อให้เกิดความสูญเสียมากมาย ต้องศึกษาให้ดีว่าปริมาณน้ำในแม่น้ำยวมเหมาะสมหรือเพียงพอที่จะผันน้ำหรือไม่ ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ ใครที่จะมาหาเสียงแถวนี้ควรมีวิสัยทัศน์กว้างไกลฟังเสียงชาวบ้านและยุติโครงการ” ผศ.มาลี กล่าว

ในช่วงท้ายชาวบ้านได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ของเครือข่ายชุมชนลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน ซึ่งมีเนื้อหาว่าในวันนี้ พวกเราที่จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากโครงการสร้างเขื่อนเก็บนํ้ายวมเพื่อผันนํ้าสู่ เขื่อนภูมิพล เห็นพร้อมตรงกันว่า 

  1. การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม  (อีไอเอ) ขาดการมีส่วนร่วมและไม่รับฟังความคิดเห็นของชุมชน ผลการศึกษาจึงไม่ตรงประเด็นและขาดข้อเท็จจริงของชุมชมและสิ่งแวดล้อม นับเป็นการลิดรอนสิทธิชุมชน และลดทอนการมีส่วนร่วมของชุมชนตามหลักประชาธิปไตย
  2. หากดําเนินโครงการตามผลการศึกษานี้จะไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนเนื่องจากจะเกิดการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างถาวร ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อวิถีชีวิตและ เศรษฐกิจชุมชนที่พึ่งพิงธรรมชาติโดยเฉพาะป่าและนํ้า ซึ่งเป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้และไม่สามารถแก้ไขได้ในภายหลัง แตกต่างจากผลการประเมินในอีไอเอ พวกเราทุกคนจึงมมีมติให้ยกเลิกอีไอเอฉบับนี้ และขอให้ถอนโครงการผันน้ำ รวมทั้งทุกโครงการที่เกี่ยวข้องออกไป