เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา กองทัพภาคที่ 1 ได้มีการปฏิบัติการทางทหารเพื่อเข้าทำลายสิ่งปลูกสร้างทางทหารของฝ่ายกัมพูชา ที่รุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทยบริเวณพื้นที่บ้านหนองจาน เเละบ้านหนองหญ้าเเก้ว พร้อมทั้งได้ยึดคืนพื้นที่ส่วนหนึ่ง และทั้งดำเนินการล้อมรั้วลวดหนามเพื่อเป็นแนวป้องกันตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตย หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ใช้ข้อตกลงหยุดยิงเพื่อลดความตึงเครียดในพื้นที่ และเปิดช่องทางการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี
การแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาได้ดำเนินการผ่านกลไกการเจรจาระดับสูง โดยมีการประชุมที่สำคัญสองครั้ง ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และ การประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) มีผลสรุปเป็น 13 ข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งครอบคลุมหลักการสำคัญ เช่น การยุติการใช้อาวุธทุกชนิด, การรักษาสถานะเดิมของแนวชายแดน, การห้ามเคลื่อนย้ายกำลังทหาร, และการงดเว้น การกระทำที่ยั่วยุทุกรูปแบบ ที่สำคัญคือทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน นำโดยมาเลเซียเข้ามาตรวจสอบการหยุดยิง เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นร่วมกัน
การประชุม RBC ซึ่งเป็นการประชุมติดตามผลระดับปฏิบัติการ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ได้ข้อสรุปเป็น 11 ข้อตกลง ซึ่งเน้นการทำงานในพื้นที่ เช่น การงดเผยแพร่ข่าวปลอม และการใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหา รวมถึงการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ตกค้าง เพื่อความปลอดภัยของประชาชนแม้จะมีความคืบหน้าในการเจรจาระดับสูง แต่ในระดับพื้นที่ยังคงมีปัญหาการรุกล้ำเส้นเขตแดน กองทัพภาคที่ 1 จึงได้ร่วมกับจังหวัดสระแก้ว ใช้กระบวนการทางกฎหมาย เข้าดำเนินการโดยเริ่มจากการติดป้ายประกาศให้ประชาชนชาวกัมพูชาที่รุกล้ำออกไปจากพื้นที่ ซึ่งเป็นไปตามหลักการที่ประเทศไทยยึดถือในการใช้กฎหมายนำการทหาร
อย่างไรก็ตามจากการดำเนินการดังกล่าวได้มีการยั่วยุจากฝ่ายกัมพูชา ด้วยการเกณฑ์ ชาวบ้าน เด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ เข้ามาทำการยั่วยุ ให้เกิดความรุนเเรง แต่เรายึดมั่นในนโยบายที่ไม่ตอบโต้ด้วยกำลัง และดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยใช้กำลังกองร้อยควบคุมฝูงชน (คฝ.) จำนวน 2 กองร้อย เข้าดำเนินการต่อประชาชนชาวกัมพูชาที่รุกล้ำในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ตามที่ปรากฏในภาพข่าว
จากการปะทะในครั้งนั้นมีกำลังพล คฝ. ของฝ่ายเราได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ซึ่งขอเรียนย้ำว่าเป็นการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังสูงสุด ได้แก่
- พ.ต.ท.สมัชญ์ นาคพน รอง ผกก.สส.สภ.คลองลึก บาดเจ็บที่หน้าผาก
- จ.ส.ต.ชยันต์ เบ้าทอง ผบ.หมู่ ป. ศีรษะแตก
- ด.ต.ศักดิ์สิทธิ์ นพเกล้า กก.สส.ภ.จว.สระแก้ว บาดเจ็บที่หางคิ้ว
- อส. สิริโรจตม์ พลังสุข กรมการปกครอง จังหวัดสระแก้ว ได้รับผลกระทบจากแก๊สน้ำตา
ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้สั่งกำชับให้กำลังพลทุกนายใช้ความระมัดระวังและตอบโต้อย่างเหมาะสม หากมีการฝ่าฝืนจากชาวบ้านกัมพูชา ให้ดำเนินการจับกุมและดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เมื่อวาน ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ได้มีการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย เพื่อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่
ทางด้านผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ได้รับทราบข้อเสนอของจังหวัดสระแก้วและจะนำไปพิจารณาพร้อมแจ้งผลให้ทราบต่อไป
ประเด็นเพิ่มเติมที่แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจและมีนัยแอบแฝงของทางกัมพูชาก็คือ เมื่อวานที่มีการประชุมร่วมกันของผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กับผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ยังได้มีคณะผู้สังเกตการณ์ทางทหาร (IOT) ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา ลงพื้นที่ดูแนวลวดหนามที่บ้านหนองหญ้าแก้วร่วมกัน จนถึงเวลา 1500 จึงได้เดินทางกลับ หลังจากนั้นฝ่ายกัมพูชาถึงได้มีการเกณฑ์ ชาวบ้าน เด็ก ผู้หญิง พระสงฆ์ เข้ามาทำการยั่วยุให้เกิดความรุนเเรง จนเกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งกันขึ้น และเหมือนได้วางแผนไว้แล้ว ฝ่ายกัมพูชาได้นำคณะ IOT กัมพูชาเข้ามาที่เกิดเหตุอีกครั้งตอนประมาณ 1900 เพื่อให้ความใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยว่าทำความรุนแรงกับประชาชนกัมพูชา ทั้งที่สาเหตุเริ่มมาจากการเข้ามายั่วยุ และรื้อรั้วหนามของฝ่ายกัมพูชา หลังจากคณะ IOT ของทั้งสองประเทศได้เดินทางกลับไปแล้ว
กองทัพภาคที่ 1 จะยังคงยึดมั่นในนโยบายที่เน้นการใช้ กฎหมายและการทูตเชิงทหาร เพื่อแก้ไขปัญหา และพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเต็มกำลัง