เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 เวลา 20.20 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ชี้แจงว่า ตนเองติดตามการทำงานของ นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และนายศุภโชติ ไชยสัจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนมาโดยตลอด เพราะหายากนักการเมืองที่เอาจริงเอาจังกับการทำงาน และทั้งสองก็ทำเรื่องไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม หลายเรื่องที่พูดไปได้พูดกันแล้วในสภาแห่งนี้ และตนเองก็ตอบไปแล้ว เรื่องไฟฟ้าที่นายวรภพพูดมาก่อน ตนเองชี้แจงไปแล้ว ได้บอกว่าต้องหาทางหยุด อย่าพึ่งเซ็นสัญญา ก็ทำหนังสือถึง กฟผ. แต่เมื่อทำหนังสือไปก็ประกาศว่าตนเองไม่มีอำนาจขนาดนั้น เรายังไม่รู้เรื่องว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร และเมื่อ กฟผ. เดินหน้าประกาศ นายกรัฐมนตรีก็เรียกประชุม ต้องขอความเป็นธรรมให้กับนายกฯด้วย ที่บอกว่านายกฯ หนีไม่มาประชุม กพช. แต่นายกฯ เป็นคนเรียกประชุม และวันนั้นมีแขกสำคัญมา จึงให้ตนเองดำเนินการไปเลย ปัญหาที่พูดนายกฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ และไม่ได้เพิกเฉย
ส่วนเรื่องสัญญาชั่วนิรันดร์เกิดมาตั้งแต่ปี 50 แปลกใจว่าทำไมเพิ่งมาพูด และลด 17 สตางค์จริงหรือไม่ ก็ต้องตรวจสอบ หลายอย่างที่พูดที่ยังไม่จบเพราะรัฐบาลไม่ยอม ตนเองไม่เห็นด้วย ประเมินมาได้อย่างไรว่าปี 80 ใช้ไป 100,000 กว่าเมกะวัตต์ แต่ทุกวันนี้ทำโดยฝ่ายประจำ ไม่ใช่รัฐบาล ย้ำว่า ที่ยังไม่จบเพราะรัฐบาลนี้ไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะพยายามเปิดช่องให้นายทุน ส่วนสัญญาที่บอกว่านายกฯ ไปเซ็น ก็ไม่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เป็นสัญญาระหว่าง กกพ. และหน่วยงานที่ประเมินได้ และในรัฐบาลชุดนี้ไม่เคยมีประมูลได้เลย
นายพีระพันธุ์ ย้ำว่า นายกฯ ไม่ได้เกี่ยวข้อง และนายกฯ ไม่ได้อยากเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน สิ่งที่พาดพิงถึงตนเอง และนายกฯ ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น ตอนนี้พยายามหาทางแก้ไขปัญหาในทุกเรื่อง และตัวเลขต่าง ๆ ก็ไม่ทราบว่ารู้หรือไม่ เห็นแล้วก็ตกใจ ไม่ใช่แค่ห้าหมื่นล้านที่พูด ทั้งหมดล้านล้าน สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ต้องแก้ปัญหาหนักแค่ไหน แล้วเซ็นสัญญากันหมด ตนเองพยายามทำเต็มที่ ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในความรับผิดชอบของตนเอง
“นายศุภโชติอาจเข้าใจผิด ตนเองไม่ได้กล่าวหาว่าข้อมูลผิด หรือพูดไม่จริง แต่กรณีที่ระบุว่านายกรัฐมนตรีเพิกเฉย หรือนิ่งเฉยไม่ทำอะไร เพื่อเอื้อประโยชน์นายทุนนั้นไม่จริง” นายพีระพันธ์ กล่าว