นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยในงานเปิดตัว 30 ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร ที่สวนเบญจสิริ ที่มีประชาชนมาร่วมกว่า 500 คน โดยมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า ถึงเวลาที่ประเทศต้องเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนเศรษฐกิจ เปลี่ยนสังคม เพื่อประเทศที่สงบสุขสู่รุ่นลูกรุ่นหลานของเรา
"วันนี้ประเทศไทยจะเปลี่ยน กรุงเทพฯต้องนำ คนต้องได้รับสวัสดิการและการดูแลที่เพียงพอเพื่อให้ประชาชนตั้งตัวทั้ง คนทำงานมีที่อยู่อาศัยค่าเดินทาง, ผู้สูงอายุ, สตรี เป็นต้น ตามหลักเศรษฐกิจประชารัฐ" ซึ่งนายอุตตม ยืนยันว่าพวกตนคือของจริงและทำได้จริง และด้านสังคม พลังประชารัฐจะรักษาความสงบสุข เป็นสังคมที่เข้มแข็งรู้จักแบ่งปัน ตามนโยบายสังคมสีขาว และเมืองสีเขียวเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน ดังนั้นประชาชนต้องเลือกพรรคพลังประชารัฐหากต้องการการเปลี่ยนแปลง ทุกคนมาจากหลายสายแต่ตอนนี้มาทำงานเพื่อสายเดียวคือ ‘พลังประชารัฐ’
นอกจากนี้ นายอุตตมยังกล่าวถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคว่าตอนนี้มีแล้ว และเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดของคนไทยและกรุงเทพฯ แต่ยังไม่บอกว่าใคร ซึ่งจะเป็นคนที่เดินไปพร้อมประชาชน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมถามกลับว่าประโยคนี้ฟังคุ้นหูหรือไม่เพราะฟังทุกสัปดาห์ ขณะที่ประชาชนที่มาฟังตะโกนว่า “ลุงตู่ๆ”
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค กล่าวว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศ คนกรุงเทพรอผู้สมัครใหม่ๆ พรรคใหม่ๆ ซึ่งพรรคพลังประชารัฐเกิดขึ้นมาเพราะจะไม่เอาประเทศกลับไปสู่จุดเดิมอีกต่อไป
นอกจากนี้ คนที่วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองเรื่องไม่ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีขณะเป็นแกนนำพรรค วันนี้ตนลาออกแล้ว แต่คนเหล่านั้นไม่เคยลาออกแบบนี้ มีแต่ทำในสิ่งที่ไม่เคยพูด ขณะเดียวกันกรุงเทพฯ มีพรรคเก่ามานานแล้ว แต่ของเก่าถ้ามันพัฒนาก็ดี ถ้าไม่ปะซ่อมพัฒนาก็ไม่ดี พร้อมย้ำว่าพรรคพลังประชารัฐจะเลือกนายกที่ดีที่สุดให้พี่น้องประชาชน
จากนั้นนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง กรุงเทพมหานคร ขึ้นปราศรัยเปิดนโยบายสำหรับกรุงเทพฯ โดยย้ำกับประชาชนที่มาฟังว่า 4 รัฐมนตรีมีความชัดเจนลาออกจากตำแหน่งหลังประกาศพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง ซึ่งไม่มีรัฐมนตรีคนไหนทำมาก่อน อย่าให้ใครเอาข้อมูลผิดๆ มาบอกประชาชน รวมทั้งใครที่เคยบอกว่า “อยู่กับเรากระเป๋าตุง” ให้ประชาชนกลับไปถามเขาว่าตุงแบบไหน กระเป๋าตุงแต่กลวงข้างในหรือไม่ แต่ของพรรคพลังประชารัฐตุงแบบยาวนาน
นอกจากนี้ นายพุทธิพงษ์ยังถามประชาชนอีกว่าผู้แทนราษฎรคนเดิมที่อยู่มาทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้นหรือไม่ พรรคพลังประชารัฐเห็นว่ากรุงเทพฯ ดีกว่านี้ได้อีก โดยมีนโยบายด้านต่างๆ ไม่ว่าเป็นเศรษฐกิจ, คมนาคม, สาธารณสุข, และสิ่งแวดล้อม เช่น แก้ปัญหาหนี้ทั้งในและนอกระบบซึ่งทั้ง 4 รัฐมนตรีเคยทำมาแล้ว, คนขับแท็กซี่มีรถเป็นของตัวเอง, ตั้ง Super Wi-fi 9 จุดทั่วกรุงเทพฯ ให้ใช้ฟรี, ปรับปรุงและสร้างตลาดที่สะอาดเป็นระเบียบอย่างน้อยเขตละ 1 ตลาดรวม 50 ตลาด, 4 ปีที่ผ่านมารถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 5 สาย พรรคพลังประชารัฐจะทำต่อ, ใช้ระบบ Ai ควบคุมสัญญาณไฟจราจร, สร้างสวนสาธารณะ 50 สวน 50 เขต, นำรถเก่ามาแลกเงินหนึ่งแสนบาท เพื่อลดฝุ่นพิษในระยะยาว พร้อมยืนยันว่าพวกตนทำแล้ว จะทำต่อไป แล้วก็ทำได้จริง
“เราไม่เชื่อในระบบนารีขี่ม้าขาวอีกแล้ว เพราะทุกวันนี้นารีอยู่ไหนไม่รู้ อัศวินอยู่ไหนไม่รู้ แต่รู้ว่าพรรคเราทำงานเป็นทีม...และหัวหน้าผมไม่หนีไปอยู่เมืองนอกแน่นอน ไม่ทิ้งประชาชน”
ส่วนการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 30 เขตของกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นอดีตสภากรุงเทพมหานครและสภาเขต, อาจารย์มหาวิทยาลัย, ผู้บริหารบริษัทเอกชน, และอดีตผู้สมัคร ส.ส. ที่ย้ายมาจากพรรคอื่นๆ