นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ระบุว่าการหาเสียง ถ้าไม่มีพรรคพลังประชารัฐอาจกลับไปขัดแย้งแบบเดิมว่า ความจริงในการหาเสียงเลือกตั้ง ทุกพรรคควรมุ่งนำเสนอนโยบาย แสวงหาทางออกจากสภาพเศรษฐกิจที่วิกฤติฝืดเคือง ดังนั้นไม่ควรพูดว่าจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เชื่อว่าหลังการเลือกตั้ง ไม่มีความวุ่นวาย ทุกพรรคควรต้องมุ่งแสวงหาทางออกเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้กับพี่น้องประชาชน แข่งขันกันออกแบบนโยบาย สร้างความหวัง แบบเศรษฐกิจแย่ คนแก้ต้องเพื่อไทย ดีกว่ามาสร้างความหวาดกลัวว่าจะเกิดความขัดแย้ง
ปชป.ไม่เชื่อพลังประชารัฐจะได้ที่นั่ง ส.ส. กทม. 15 ที่นั่ง
นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายพุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ โฆษกรัฐบาลประกาศว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้ ส.ส.กทม.15 ที่นั่ง ว่า เป็นเพียงราคาคุยของกลุ่ม นายพุทธิพงศ์ นายสกลธี ภัททิยกุล และนายณัฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้ คสช.เห็นว่ากลุ่มจะได้ ส.ส.ถึงร้อยละ 50 ของพื้นที่ใน กทม. ซึ่งความเป็นจริงนั้น ชาว กทม. จะให้บทเรียนที่แท้จริงแก่รัฐบาลในวันเลือกตั้ง จึงขอให้ใจเย็นๆ
เพื่อไทย ขอของขวัญปีใหม่ ทวงนายกฯ ลาออกจากหัวหน้า คสช.
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครพนม เขต 4 พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า "ลาออก...ของขวัญปีใหม่(ภาคสอง)" เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2561 ผมได้โพสเฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรแสดงสปิริตลาออกจากหัวหน้า คสช. เพื่อให้การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนและประชาคมโลก และเพื่อศักดิ์ศรี เกียรติยศของประเทศ บัดนี้ เวลาผ่านมา 1 สัปดาห์ยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าตอบรับ หรือปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว
ผมจึงจำเป็นต้องเขียนบทความ "ลาออก...ของขวัญปีใหม่(ภาคสอง) เพิ่มเติมประเด็นที่เห็นว่าสำคัญ ดังนี้ 1. นอกเหนือจากเพื่อให้การเลือกตั้งทั่วไปได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนและประชาคมโลก คำว่า "เพื่อเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประเทศ" ที่เป็นเหตุผลหนึ่งในการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้า คสช. นั้น เป็นเหตุผลที่ผมกล่าวอ้อมๆ ด้วยความเกรงใจ และคิดว่าวิญญูชนทั่วไปคงตระหนักรู้ได้ มาบัดนี้ คงจะต้องบอกเหตุผลตรงๆ ไม่อ้อมค้อมอีกแล้วว่า ประเทศไทยจะมีพระราชพิธีสำคัญยิ่ง คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งผู้นำฝ่ายบริหารที่จะเข้าร่วมพิธี ไม่ควรจะมีตำแหน่งเป็นหัวหน้า คสช.อีกตำแหน่งหนึ่งควบด้วย หรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมพระเกียรติยศให้แผ่ไพศาล
2. นอกจากนี้ ผมยังยืนยันความเห็นเดิมว่า รัฐบาลนี้ไม่ควรพิจารณางบประมาณ หรือโครงการใดๆ ที่จะมีผลเป็นการผูกพันไปยังรัฐบาลหน้า โดยเฉพาะการประชุม ครม.สัญจร ที่ภาคเหนือตอนบน ในวันที่ 14-15 ม.ค. 2562 นี้ ควรยกเลิกทันที หนทางเดียวที่จะทำได้ในขณะนี้ คือ การตั้งงบประมาณประจำปี 2563 เฉพาะรายจ่ายของฝ่ายประจำเท่านั้น เหตุผลที่เสนอเช่นนี้ ด้วยนำข้ออ้างของท่านเองที่ว่า เข้ามาเพื่อปฏิรูปประเทศ ดังนั้น ท่านก็ไม่ควรทำกิจการใดที่ตรงข้ามกับการปฏิรูปประเทศ เพราะสิ่งที่ท่านจะทำล้วนถอยหลังเข้าคลองทั้งสิ้น ไม่ใช่การปฏิรูปประเทศแต่อย่างใด เช่น การอนุมัติงบประมาณผูกพันรัฐบาลหน้า ไม่ว่าจะสองปี หรือกี่ปี ก็ไม่ควรดำเนินการ
3.สิ่งที่รัฐบาลนี้ควรทำแต่กลับไม่ทำ คือ ควรประชุม ครม. สัญจร อย่างเร่งด่วน ที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อพิจารณาอนุมัติงบกลางช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟู ความเสียหายจากพายุโซนร้อน "ปาบึก" ให้ทันการณ์ และลงไปเยี่ยม ปลอบขวัญ ให้กำลังใจประชาชน ร่วมทุกข์ ร่วมสุขกับประชาชนยามประสบภัยพิบัติ ซึ่งจนป่านนี้ทราบว่า ท่านและ ครม.ยังไม่มีท่านใดลงพื้นที่ภาคใต้เลยสักคน (ถ้ามี ก็ขออภัย เพราะไม่เป็นข่าว) ซึ่งตรงข้ามกับเมื่อครั้งเกิดภัยพิบัติ "สึนามิ" ครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 แม้จะมีความเสียหายมากมายในวงกว้าง ทั้งชีวิตและทรัพย์สินประชาชน แต่ผู้บริหารประเทศในขณะนั้น คือ นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ครม. ได้ลงพื้นทึ่เพื่อบัญชาการในการช่วยชีวิตประชาชนในลำดับแรกในทันที โดยไม่หวั่นเกรงภยันตรายใด ๆ และเร่งฟื้นฟูความเสียหาย ทั้งเยียวยาจิตใจผู้ที่ประสบภัยพิบัติอย่างทันท่วงที
จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ได้อำนาจจากประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย กับผู้ที่ได้อำนาจจาก อำนาจนอกระบบ วิสัยทัศน์ต่างกันสิ้นเชิง ผมยังขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงสปิริตลาออกจากหัวหน้า คสช. เพื่อให้การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนและประชาคมโลก และเพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรีของประเทศสืบไป