นายกรัฐมนตรี 'ลีเซียนลุง' ของสิงคโปร์แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ประกาศยกระดับมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 โดยพูดถึงการตอบสนองต่อไวรัสที่ผ่านมาของสิงคโปร์ว่าดำเนินไปด้วยดีและสามารถควบคุมการระบาดเอาไว้ได้ แต่เมื่อมองไปที่แนวโน้มตอนนี้ก็กังวลว่าหากไม่เดินหน้าเพิ่มเติม สถานการณ์ก็จะค่อยๆเลวร้ายลง หรืออาจมีการระบาดเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ที่ผลักให้สถานการณ์เกินควบคุม รัฐบาลจึงตัดสินใจว่าเดินหน้าอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น โดยชี้ว่านี่คือ “เซอร์กิต เบรกเกอร์” (Circuit Breaker)
โดยในมาตรการดังกล่าวที่ทำงานเกือบทั้งหมดจะปิดทำการ ยกเว้นธุรกิจอาหาร ตลาดและซูเปอร์มาร์เก็ต คลินิก โรงพยาบาล สาธารณูปโภค การขนส่งและบริการธนาคารหลักจะยังคงเปิดทำการเพราะเป็นบริการที่จำเป็น ขณะที่ร้านอาหาร ศูนย์อาหาร หรือ 'ฮอว์เกอร์ เซ็นเตอร์' และร้านกาแฟ จะยังคงเปิดให้บริการแบบซื้อกลับบ้านหรือเดลิเวอร์รีเท่านั้น ซึ่งมาตรการนี้จะทำให้แน่ใจว่าแรงงานสิงคโปร์ส่วนใหญ่จะอยู่ที่บ้านและจำกัดปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพระหว่างผู้คนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
มาตรการใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. - 4 พ.ค.นี้ ในขณะที่โรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษาจะย้ายไปจัดการเรียนที่บ้านทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย. โดยนายลีระบุว่าได้เริ่มการเรียนจากที่บ้านมาแล้ว 1 วันในสัปดาห์นี้ ภาพรวมผ่านไปอย่างราบรื่น โดยปัญหาขัดข้องในช่วงเริ่มต้นกำลังถูกแก้ไข ขณะที่ศูนย์ดูแลเด็กก่อนวัยเรียนและนักเรียนทั้งหมดจะถูกปิดเช่นกัน แต่จะมีการให้บริการอย่างจำกัดสำหรับเด็กๆ ที่พ่อแม่ยังต้องทำงานต่อและไม่มีทางเลือกอื่นในการดูแลลูก ซึ่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ยังระบุว่า มาตรการเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการระบาดใหญ่และก็ควรทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ ลดลง ซึ่งหลังจากนั้นทางการจะผ่อนคลายบางมาตรการ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ยังเปลี่ยนคำแนะนำเรื่องการสวมหน้ากากในที่สาธารณะจากที่แต่ก่อนไม่สนับสนุนให้ประชาชนสวมหน้ากากหากไม่ป่วย โดยผู้นำสิงคโปร์ระบุว่ารัฐบาลจะไม่แนะนำเช่นนั้นอีกต่อไปเพราะสถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลง มีหลักฐานว่าผู้ติดเชื้อบางรายไม่แสดงอาการแต่ก็ยังคงสามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้ ซึ่งการสวมหน้ากากจะช่วยปกป้องผู้อื่นในกรณีที่เราป่วยแต่ไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ย้ำว่าหน้ากากอนามัยยังต้องสงวนไว้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ดังนั้นรัฐบาลจะเริ่มกระจายหน้ากากแบบใช้ซ้ำได้ไปยังครัวเรือนทั้งหมดตั้งแต่วันอาทิตย์นี้ และไม่ว่าจะสวมหรือไม่สวมหน้ากากก็ยังต้องล้างมือและรักษาระยะห่างจากผู้อื่น
ทั้งนี้ สิงคโปร์ได้รับเสียงชมจากนานาชาติถึงความพยายามในการจำกัดการระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนล่าสุดอยู่ที่ 1,114 ราย และมีผู้เสียชีวิต 5 ราย โดยที่ผ่านมาสิงคโปร์ได้ใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัส แต่ยังคงให้โรงเรียน สำนักงานและร้านอาหารเปิดทำการอยู่