'ภูมิรัตน์ เลิศวิศิษฎ์ชัย' ผู้ถือลิขสิทธิ์ Miss International Thailand และประธานที่ปรึกษากองประกวด Miss Supranational Thailand หรือ ที่ในวงการนางงามเรียกว่า 'แม่ลักษณ์' ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าววอยซ์ออนไลน์ ถึงกระแสการวิจารณ์คำถามบนเวทีการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2019 ที่แอตแลนตา สหรัฐอเมริกา ว่า ตอนนี้กระแสไหลไปถึงเรื่องการเมือง ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องของการเมือง คำถามที่กองประกวดตั้งขึ้นมา เนื่องจากเป็นบริบทในประเทศ และสาเหตุที่กองประกวดเลือกที่จะหยิบคำถามใกล้ตัวเพื่อที่จะให้นางงามตอบคำถามได้ง่าย
จึงมองว่า คำถามที่เกิดขึ้นมาจากกองประกวดอยากจะรู้ว่าในบ้านเมืองของนางงามคนนั้นๆ มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แล้วเธอคิดอย่างไร เพื่อวัดทัศนคติและตัวตนของผู้ตอบคำถาม เขาไม่ได้ต้องการหานักการเมือง เขาไม่ได้ต้องการนักต่อสู้เรียกร้องสิทธิเพื่อการเมือง ดังนั้นคำตอบจึงไม่มีผิดถูก ไม่มีกรรมการคนไหนสนใจหรอกว่านางงามจะเลือกตอบ Privacy หรือ Security แต่คนที่จะสนใจ คือคนที่มีแนวโน้มที่จะสนใจเรื่องการเมืองอยู่แล้ว ถึงหยิบมาตีความ
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วกรรมการต้องการเห็นว่าสิ่งที่ผู้เข้าประกวดนางงามตอบมันบ่งบอกอะไรกับตัวตนเธอ ไม่จำเป็นต้องตอบการเมืองก็ได้ ยกตัวอย่าง ถ้านำคำถามนี้ไปถามแม่ค้าหรือคนธรรมดา เขาก็ต้องตอบในมุมของเขาว่าไม่เข้าใจหรอกเรื่องแบบนั้น เราเข้าใจแต่ว่าทุกคนต้องทำมาหากิน ดูแลครอบครัวยังไง ตอบแทนสังคมยังไง และจะทำอะไรให้ประเทศชาติ
"ไม่ต้องไปมองว่า ตายแล้ว มันตอบคำถามยาก ตอบแล้วจะไม่ได้เข้าประเทศ เป็นบ้าเหรอ มันจะไม่ได้เข้าประเทศอะไร เขาหานางงาม เพียงแต่มันเป็นมุมมองของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเขาไม่ได้หยิบคำถามทั่วๆ ไปว่าทำยังไงถึงจะช่วยเรื่องยาเสพติด อันนั้นมันเบสิกไปแล้วไง มันมองไม่เห็นตัวตน" ภูมิรัตน์ กล่าว
เมื่ือถามถึงบางกระแสว่าอาจจะเป็นการตั้งใจจัดคำถามยากมาให้ เพื่อบล็อกไม่ให้ประเทศไทยได้มงกุฎ ?
ภูมิรัตน์ ตอบว่า ไม่มีการบล็อก ประเทศไทยไม่ได้สลักสำคัญอะไรถึงขนาดที่เขาต้องมานั่งบล็อกเรา เป็นเรื่องปกติมาก กับทุกประเทศ เช่น เวลาเขาถามมิสเปรู เขาก็ถามเรื่องพื้นฐานสาธารณสุข เวลาเขาถามมิสเซาท์ แอฟริกา เขาถามถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมเรื่องปัญหาโลกร้อนเพราะว่าที่นั่นเขามีปัญหาแบบนั้น
พอถึงมิสไทยแลนด์ก็ต้องถามกลับว่าจะให้ถามอะไร จะให้ถามปัญหาหมาจรจัดข้างถนนเหรอ เขาก็ต้องถามเรื่องนี้เพราะมันเป็นเรื่องที่อยู่ในกระแสอย่างร้อนแรง ทีนี้ก็อยู่ที่ไหวพริบและปฏิภาณของคนตอบว่าจะตอบไปในแนวไหน หรือว่าจะตอบไปในการเมืองไหม บางคนก็แนะนำว่าเลือกไปเลย ซึ่งคนที่เริ่มตอบแบบนั้นแสดงว่ามีใจฝักใฝ่ทางการเมือง ซึ่งไม่จำเป็น ไม่ต้องเลือกก็ได้ หรือ เลือกก็ได้ หรือเธอตอบไปแบบไหน ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสองตัวเลือกนี้ก็ได้ เขาแค่ต้องการเห็นตัวตน ไม่ได้มีคำถามผิดถูก
เมื่อถามต่อว่า ถ้าอย่างนั้นนางงามจะต้องเตรียมตัวแบบไหน ภูมิรัตน์ ตอบว่า ถ้าเริ่มถามแบบนี้ก็ผิดแล้ว ยุคนี้เป็นยุคที่เราต้องการความเป็นตัวตนที่แท้จริง หมดสมัยกับการถูกฝึกมา หมดสมัยกับการเรียนรู้กองประกวดว่าต้องการอะไรแบบไหน เพราะถ้าถึงเวลานั้น ไหวพริบไม่ดีพอ งัดออกมาใช้ไม่ทัน อีกทั้งเราก็ไม่สามารถที่จะเรียนรู้ทุกๆ คำถามในโลก เพื่อดักทางให้ถูกใจกรรมการได้
ขณะที่กรรมการก็เป็นคนรุ่นใหม่ ที่รู้เท่าทันอยู่แล้ว เขาตามสื่อทุกอย่าง ดังนั้นถ้านางงามเฟค ปลอม หรือถูกฝึกมา กรรมการก็รู้ เขาจะไม่หานางงามแบบนั้น แต่นางงามต้องเป็นของจริง คือ มีความลึกซึ้งกับชีวิต เห็นว่าพ่อแม่เลี้ยงดูมายังไง เติบโตยังไง มีการศึกษายังไง มีทัศนคติกับชีวิตยังไง ไม่ต้องเตรียมตัว แต่เตรียมใจว่าเราจะนำเสนอความเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุดแค่ไหน เช่น โซซิบีนี ทุนซี มิสยูนิเวิร์สเซาท์ แอฟริกา ตอบคำถามได้ชัดเจนตั้งแต่รอบแรก สิ่งที่เขาพูดมาทุกรอบมันบ่งบอกตัวตนเขาว่าต้องการที่จะเป็นตัวแทนผู้หญิงผิวสี และเพื่อที่จะลุกมาบอกผู้คนว่าความสวยอย่าดูกันแต่ภายนอก คนผิวสีก็สวย บุคลิกเขาชัดเจน กรรมการประทับใจ เพราะมองเห็นตัวตน เหมือนกับผู้ชายที่กำลังจะแต่งงานกับผู้หญิง การเรียนรู้โปรไฟล์เป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ถ้าจะให้ประทับใจจนถึงขั้นแต่งงาน มันคือการเข้าถึงตัวตน และเธอตอบคำถามได้เข้าถึงตัวตนทุกครั้ง ทุกรอบ
'ภูมิรัตน์' ยังกล่าวเสริมอีกว่า ไม่มีคำว่าคำถามในทางที่ถนัด เช่น คำถามง่ายๆ ว่ากินข้าวกับอะไร? ก็ยังบ่งบอกตัวตนของผู้ตอบได้ เช่น ตอบว่ากินข้าวกับน้ำพริก หรือผัก เพราะร่างกายไม่ต้องการเนื้อสัตว์ ก็พอจะรู้ว่าเขาเป็น Vegan เป็นต้น
ดังนั้นคำว่าของจริงคือตัวตน เสื้อผ้าหน้าผม คือองค์ประกอบ ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ได้มงกุฎ คนนึงเดินธรรมดาก็ใช้ได้ ใส่ชุดที่เป็นตัวเองไม่ต้องปักมาเป็นแสนก็ใช้ได้แล้ว ผมไม่ต้องให้ช่างมันนั่งคิดกันสามเดือนแปดเดือนก็ได้แล้ว ปกติทรงอะไรก็ได้ ธรรมชาติชนะทุกสิ่ง จะเห็นว่าคนที่ผ่านเวทีมาเยอะก็จะมีประสบการณ์เยอะ คนที่เก็งมาคำนวณมาก็เหมือนเก็งข้อสอบ แต่นางงามสมัยนี้จะสังเกตได้ว่าทุกเวทีคือคนที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะชนะ ไม่มีความกดดัน แต่มีความสุข มีแต่ตัวตนที่แสดงออกไป
ยุคนี้จะเป็นนางงามแบบนั้นที่จะเป็นผู้ชนะ เช่น มิสเปอร์โตริโก มีประสบการณ์ผ่านการประกวดมาเยอะและเป็นนักสุนทรพจน์ด้วย แต่ยังเอาชนะธรรมชาติของมิสเซาท์ แอฟริกา ไม่ได้เลย เพราะกรรมการเบื่อความเจนเวที
อย่าง 'บิ๊นท์ - สิรีธร ลีห์อร่ามวัฒน์' ที่คว้าตำแหน่งมิสอินเตอร์เนชั่นแนล ได้เป็นมงกุฎแรก ในปีนี้ ที่ประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเธอดูเป็นธรรมชาติ เธอเป็นคนเดินไม่เก่ง ซึ่งรู้ตัวเองก็เลยไม่เดินสับ หรือจิกเล่นกล้องบล็อกตัวเองตลอดเวลา กรรมการก็มองเห็นความแตกต่าง ในรอบสุนทรพจน์ กรรมการก็ไม่ได้ต้องการคนที่พูดสุนทรพจน์ได้ดีที่สุด เพราะมันฝึกได้ แต่ต้องการคนที่พูดออกมาจากใจ และคนฟังเข้าถึงและรู้สึกได้ ซึ่งบิ๊นท์มีและเป็นสิ่งที่นางงามยุคใหม่ควรจะเป็น
ขณะที่ 'แอนโทเนีย โพซิ้ว' สาวไทยคนแรกที่คว้ามงกุฎมิสซูปราเนชั่นแนล ในปี 2019 ที่ประเทศโปแลนด์ เธอตอบคำถามว่าความท้าทายที่สุดในช่วงอายุของเธอ คือ การไม่ตัดสินคนจากภายนอก กรรมการก็มองเห็นความเป็นตัวตนว่าเธอลึกซึ้งกับชีวิต ซึ่งเธอไม่ได้พูดถึงแม้กระทั่งคำว่า 'บูลลี่' ซึ่งเป็นคำฮิต แต่ใช้การพูดที่เป็นภาษาของเธอเอง นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เธอได้รับตำแหน่ง เพราะคนที่มาประกวดสวยเหมือนกันหมด ไม่มีใครไม่สวย แต่กรรมการต้องการความแตกต่างจากสมอง
ขณะเดียวกัน การเก็บตัวซึ่งจะมีการเก็บคะแนน แล้วปฏิกิริยาจากเพื่อนนางงาม และพี่เลี้ยงในกองประกวด รวมทั้งขั้นตอนการทำกิจกรรมก็จะบ่งบอกตัวตน จะเห็นได้จากความสบาย ความเป็นตัวเองในการเก็บตัว ไม่ต้องวางแผนมาก มันหมดสมัยไปแล้ว อีกทั้งคะแนนเก็บตัวเองก็มีผลทางด้านจิตใจ อย่างไรก็ตาม คะแนนเหล่านี้จะมีผลในการประกาศผู้เข้ารอบในรอบแรก ส่วนที่เหลือกรรมการก็จะดูจากความเป็นธรรมชาติและตัวตนบนเวที
นอกจากนี้ ภูมิรัตน์ ยังกล่าวถึงกระแสแฟนคลับที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างหนักว่า ไม่ว่าจะเชียร์อะไร ทั้งนางงาม หรือฟุตบอล หรือกีฬาอื่นๆ ต้องเชียร์อย่างเหมาะสม แต่ต้องแบ่งเวลาให้กับชีวิต อาชีพ และครอบครัว อย่างไรก็ตามการเชียร์นางงามก็ขอให้เชียร์ต่อไป เพราะคนที่ชอบยังไงก็ชอบ แต่ต้องมองให้ลึกซึ้ง เหมือนกับคำพูดที่ว่า "ลูกของเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน เหมือนกัน นางงามไทยไม่ใช่นางงามของโลกใบนี้" ต้องตรองดีๆ นิ่งๆ แล้วพยายามต่อสู้ต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนกระแสการเมือง ตนมองว่า ทุกๆ ปรากฎการณ์ การเมืองสามารถหยิบโยงได้ทุกเรื่อง การเมืองเป็นอะไรที่ฉลาดหลักแหลมสามารถฉวยสถานการณ์ได้ทุกๆ สิ่ง จริงๆ แล้วเรื่องการประกวดคำถามจากมิสยูนิเวิร์สไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเมืองเลย แต่ในมุมที่เอาเข้ามาเกี่ยว ก็เขาเกี่ยวอยู่แล้ว เขาก็ต้องดึงประเด็นเข้ามา
"พี่ได้อ่าน บอกว่ามีผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐฯ บอกว่า อย่างนี้อย่างนั้น โอ้ยตายแล้ว ตายๆๆ นั่นเธอว่างถึงขั้นเอาผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯ มาวิเคราะห์คำถามนางงามไทยเลยนะ"
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำก็จะเป็นไปตามบุคลิกของคนที่แนะนำ ถ้าคนนั้นเกี่ยวข้องกับการเมืองมันก็จะเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ถ้าเป็นตนเองที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และเข้าใจว่ากรรมการต้องการเห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเรา ตนก็จะตอบว่า
"คำถามนี้ล่อแหลมสำหรับประเทศดิฉันมากนะคะ แต่ดิฉันก็จะตอบเลยว่า ดิฉันใส่ใจการมีชีวิตของดิฉันมากกว่า ครอบครัวของดิฉันต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ที่เหลือเราจะตอบแทนคืนสู่สังคมยังไง ประเทศชาติดิฉันจะตอบแทนยังไง ฉะนั้นไม่ว่าจะ Privacy หรือ Security ดิฉันว่าเป็นเรื่องแค่คำจำกัดความของคนบางกลุ่ม ดิฉันไม่ได้สนใจ ดิฉันสนใจที่จะลงมือกระทำมากกว่า" ภูมิรัตน์ ยกตัวอย่างคำตอบที่ทำให้เห็นตัวตน โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
ภูมิรัตน์ กล่าวย้ำว่ามันบิดได้อยู่ที่ไหวพริบ ถ้าคิดว่ามันล่อแหลมทางการเมือง แสดงว่าเธอกำลังอยู่ในมุมของการเมือง แต่เราไม่ได้อยู่ ฉันเป็นนางงาม แต่ว่าฉันเป็นนางงามรุ่นใหม่ ฉันจะไม่ตอบกลาง ฉันจะชัดไปเลย เพื่อให้เธอเห็นว่าฉันเป็นแบบไหน พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า นางงามมันจะเปลี่ยนไป พวกที่เฟก พวกที่ปลอมกรรมการเขารู้ เอามาแบบตัวตนจริงๆ เราเริ่มต้นที่จะสั่งสอนเด็กรุ่นใหม่ที่จะเติบโตขึ้นมาดีกว่าว่าให้เข้าใจชีวิตให้ลึกซึ้ง ให้รู้วิธีการดูแลครอบครัวพ่อแม่ ให้รักสัตว์ ให้สนใจการเมืองเศรษฐกิจ อะไรก็ตามที่เป็นพหูสูตร มันจะเป็นของจริง โดยไม่ต้องเตรียม โดยไม่ต้องเก็ง ฉะนั้นนางงามรุ่นใหม่ อนาคตมันจะเปลี่ยนไปแล้ว มันจะไม่ใช่คนที่สวยที่สุด แต่มันจะเป็นคนที่กำใจผู้คนได้มากที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :