น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ คณะทำงานด้านต่างประเทศ พรรคไทยรักษาชาติ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 จะเป็นการเลือกตั้งที่ถูกประชาคมโลกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะมีหลายปัจจัยที่ยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยในเรื่องความความยุติธรรมและโปร่งใส เนื่องจาก คสช. ยังมีอำนาจตามมาตรา 44 เป็นเครื่องมือ ที่สามารถแทรกแซงองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆได้ และเป็นรัฐบาลที่ถืออำนาจเต็ม ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ ยังคงสามารถเดินหน้านโยบายที่มีผลผูกพันทางงบประมาณ ทำให้ถูกมองว่ารัฐบาลกำลังใช้ภาษีประชาชนเพื่อผลประโยชน์ที่ทับซ้อนกันทางการเมือง การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นไปได้ยากที่จะเดินหน้าด้วยความบริสุทธิ์ เสรี และเป็นธรรม ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการสร้างบรรยากาศที่ดีก่อนเลือกตั้งด้วยการงดใช้อำนาจ มาตรา 44 แทรกแซงองค์กรอิสระหรือลิดรอนสิทธิประชาชน
ขณะเดียวกัน กกต. ในฐานะผู้จัดการเลือกตั้ง ที่จะต้องทำให้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุด ก็ควรเร่งพิจารณาเชิญนานาชาติ ให้เข้าร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้ง เพื่อแสดงความเป็นอิสระโปร่งใส เพราะการเลือกตั้งที่เสรี เป็นธรรมและน่าเชื่อถือนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในสายตานานาชาติที่จะมองกลับมายังประเทศไทยของเรา การที่ผู้มีอำนาจอ้างว่า ในประเทศเจริญแล้วอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ก็ไม่มีต่างประเทศเข้ามาเกาะติดเรื่องบ้านเมืองเขานั้น ควรเข้าใจในบริบทของสถานการณ์การเมืองของประเทศที่เจริญแล้วเหล่านั้นด้วยว่า แตกต่างกับเราในขณะนี้อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งภายใต้อำนาจรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร
น.ส.ชยิกา กล่าวว่า ภาคประชาชนและนานาประเทศทั่วโลกต่างจับตามองการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ด้วยความกังวลว่าจะเป็นไปอย่างโปร่งใสหรือไม่ รวมถึงตั้งคำถามว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร สังเกตได้จากรายงานข่าวที่คณะทูตได้สอบถามกับประธาน กกต. ถึงบัตรเลือกตั้ง การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี 3 รายชื่อ และการโหวตนายกรัฐมนตรีที่ต้องได้คะแนน 376 เสียง แสดงให้เห็นว่า ต่างชาติมีความเข้าใจสถานการณ์การเมืองไทยเป็นอย่างดี เป็นการแสดงความห่วงกังวลอยากให้ประเทศไทยเดินหน้ากลับสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งส่วนตัวมองว่านานาประเทศไม่ได้ต้องการเข้ามาก้าวก่ายอำนาจอธิปไตยของไทย แต่อยากเดินหน้าความสัมพันธ์อย่างเต็มรูปแบบกับประเทศไทยอย่างมิตรประเทศเท่านั้น
"และถ้าผลลัพธ์ในวันข้างหน้ายังไม่เป็นประชาธิปไตย ประเทศไทยมีผู้นำที่ชัดเจนว่าเป็นเผด็จการหรือสนับสนุนฟากฝั่งเผด็จการ กฎหมายของประเทศก็จะยังคงมีความไม่แน่นอน นานาประเทศก็จะขาดความเชื่อมั่น คนไทยก็จะยังคงเสียโอกาสในการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ อย่างที่ผ่านมาเศรษฐกิจมีจีดีพีโตเกือบต่ำสุดในอาเซียน รายได้ประชาชนกระจุกตัวอยู่กับคนกลุ่มน้อยเพียง 1% จนความเหลื่อมล้ำของไทยแซงหน้ารัสเซีย และ ตุรกี เป็นอันดับ1 ของโลก การค้าการลงทุนไม่เกิด ภาคเกษตรถูกละเลยและหดตัวอย่างรุนแรง ประชาชนมีรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ต่างอะไรกับสถานการณ์ในปัจจุบัน อนาคตของประเทศวันนี้จึงอยู่ที่ประชาชน ที่ต้องพร้อมใจกันแสดงให้เห็นว่า “ทนต่อไปไม่ได้แล้ว” เพราะต่อให้นานาชาติออกมาแสดงความกังวลอย่างไร ก็คงไม่มีผลอะไรเท่ากับการที่คนไทยจะไปใช้สิทธิของตัวเองในการเลือกตั้งครั้งนี้ คนไทยจึงต้องเลือกข้างให้ชัดเจนระหว่าง “ฟากฝั่งอำนาจเผด็จการ” และ “ฟากฝั่งประชาชน” ถ้าคนไทยเลือกพรรคการเมืองที่ยืนอยู่ข้างประชาชนให้ชนะขาดเท่านั้น ประเทศจึงจะพอจะมีความหวังที่จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์" น.ส.ชยิกากล่าว