น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กมธ.ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์ถึงการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงกรณีมีค่ายมือถือรายหนึ่งถูกแฮกเกอร์เจาะเข้าถึงข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ตของลูกค้าว่า กรรมาธิการฯ ได้รับทราบข้อมูลและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ กรรมาธิการจึงได้กำชับผู้เกี่ยวข้องให้เข้มข้นในการวางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือ Cyber security ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ เราได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะระบบไอทีของรัฐสภา ที่ขณะนี้อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ของเรากำลังอยู่ในขั้นตอนก่อสร้าง และวางระบบไอที ที่จะต้องรองรับการประชุมสภา ประชุมกรรมาธิการ และประชุมหน่วยงานต่างๆ ของรัฐสภา รวมทั้งการเก็บข้อมูลการประชุม ที่มีระดับชั้นความลับอยู่ ดังนั้น รัฐสภาจึงต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้สนับสนุนการประชุม การเก็บข้อมูล ที่ต้องมีความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และจะทำให้เกิดความมั่นใจกับสมาชิกรัฐสภา รวมถึงข้าราชการ หรือพี่น้องประชาชนที่มาใช้บริการของรัฐสภา
“ข้อมูลของรัฐสภามีความสำคัญมาก ทั้งเรื่องข้อมูลสมาชิก ข้อมูลการประชุม ซึ่งขอมูลเหล่านี้หากอยู่ในชั้นความลับจะรั่วไหลไม่ได้ เพราะมีผลต่อความมั่นคงของประเทศ เราเห็นว่ารัฐสภาควรจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ให้ความสำคัญกับเรื่อง Cyber security และดิฉันเองในฐานะที่ทำงานเกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีเมื่อเราเห็นความเสี่ยงตรงนี้ ก็ไม่อยากให้สภาเราประมาท เพราะรัฐสภาถือเป็นศูนย์อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ หากถูกแฮกหรือมีข้อมูลรั่วจะส่งผลกระทบร้ายแรงตามมาได้” ประธานกมธ.ดีอีเอส กล่าว
ด้าน นายนนทวัตต์ สาระมาน นายกสมาคมส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยีไซเบอร์(CIPAT) ให้สัมภาษณ์ว่า ในยุคนี้เราจะมองข้ามความมั่นคงปลอดภัยทางข้อมูลไม่ได้ ข้อมูลมีความสำคัญมากที่หน่วยงานจะต้องรักษาและควบคุมให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็จะเกิดปัญหา Cyber security เช่น การประชุมออนไลน์ที่ใช้กันอยู่นี้ ส่วนใหญ่ข้อมูลไปอยู่ในต่างประเทศหมดเนื่องจากมันเป็นแพลตฟอร์มของต่างประเทศ ตรงนี้ทำให้เกิด Big data ของต่างประเทศ แทนที่จะทำให้ Big data อยู่ในประเทศไทย สร้างความฉลาดทางข้อมูลให้อยู่ในไทย เช่นเดียวกันกับของรัฐสภาจะมีความปลอดภัยได้อย่างไร หากรัฐสภาจะเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการประชุมทั้งออฟไลน์ ออนไลน์
นายนนทวัตต์ กล่าวว่า การประชุมมีหลายระดับทั้งเปิดเผย และประชุมลับ ซึ่งหากเรายังใช้แพลตฟอร์มต่างชาติ ตนคิดว่าไม่ควร การประชุมลับหรือเรื่องสำคัญของประเทศควรจะตั้งฐานข้อมูลอยู่ในไทย หรือสนับสนุนแพลตฟอร์มที่จะเกิดขึ้นในไทย อย่างน้อยข้อมูลอยู่ในไทย ระบบที่ทำอยู่ในไทย ยังคุยกันง่ายกว่าหากเกิดปัญหา หรือมีข้อมูลรั่วไหลเราก็จะรู้ต้นต่อได้ ตรงนี้ต้องเป็นการตระหนักของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ต้องรู้ว่ามีความเสี่ยง มีความอันตรายอยู่หากไม่ให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ซึ่งกรณีตัวอย่าง ที่น่าสนใจคือการที่มีผู้ให้บริการค่ายมือถือรายหนึ่งทำข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ตของลูกค้ารั่วไหล ตรงนี้ก็เป็นกรณีศึกษาให้กับระบบของรัฐสภา เพราะมีข้อมูลบางอย่างที่รัฐสภาเปิดสาธารณะให้ประชาชนเข้าถึงได้ จึงจำเป็นที่จะต้องดูความเสี่ยงในการเปิดสาธารณะด้วย และที่สำคัญคือระบบการรักษาความปลอดภัย จะต้องรัดกุมไม่ให้เกิดการแฮกข้อมูลได้
ขณะที่ พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และรองประธาน กมธ.ดีอีเอส กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่มีผู้ให้บริการมือถือค่ายหนึ่งโดนเจาะข้อมูลตามที่เป็นข่าวนั้น กรรมาธิการให้ความสำคัญเรื่องดังกล่าวอย่างมาก ตนอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกรายในประเทศไทย ต้องตระหนักถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ การรักษาข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าให้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด และในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านไอที เทคโนโลยีดิจิทัลคนหนึ่งที่มีโอกาสเข้ามาทำงานในรัฐสภาฐานะ ส.ส. จึงอยากชี้ให้ฝ่ายรัฐสภาได้เห็นความสำคัญเรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยอยากให้มีการตรวจสอบระบบไอทีของรัฐสภาให้ชัดเจนแน่นอน ว่าเราได้มีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ดีพอแล้วหรือยัง เพราะขนาดผู้ให้บริการค่ายมือถือที่มีระบบป้องกันดีเยี่ยม ยังถูกเจาะข้อมูลได้ ดังนั้นหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะศูนย์รวมอำนาจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา จำเป็นจะต้องมีระบบ Cyber security ที่ดีและรัดกุมที่สุด