พชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหาร และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้ออกมาเตือนล่วงหน้าและสถานการณ์ก็เป็นจริง ทั้งเรื่องราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และราคาอาจจะพุ่งไปถึง $150 ถึง $200 ต่อบาร์เรลได้เลย อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงในเดือนกุมภาพันธ์ที่ 5.28% และ ยังจะพุ่งสูงขึ้นอีก อัตราดอกเบี้ยที่จะขึ้นอีกหลายครั้งในปีนี้ตามทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ และ การขาดดุลการค้าที่จะเพิ่มขึ้นอีกซ้ำเติมกับการขาดดุลทางการคลังจากการใช้จ่ายสะเปะสะปะของพลเอกประยุทธ์ แทนที่พลเอกประยุทธ์จะนำข้อมูลดังกล่าวไปพิจารณาแก้ไข กลับส่งคนออกมาแก้ตัวแบบมั่วๆโดยไม่ได้อธิบายว่าจะรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเตือนแต่อย่างใด เท่าที่ได้ยินพลเอกประยุทธ์เพียงแนะนำให้คนใช้รถเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งไม่น่าจะใช่แนวทางแก้ไข ดังนั้น จึงน่าเป็นห่วงหลักคิดและแนวทางในการแก้ไขปัญหาของพลเอกประยุทธ์ว่าจะล้าสมัยและตกยุคไปแล้ว แก้ปัญหาไม่ได้ และจะยิ่งทำให้ปัญหามากขึ้นและหนักขึ้น เพิ่มภาระให้ประชาขนมากขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาย้อนหลังจะพบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยหลักคิดที่ล้าสมัยตกยุคมาตลอด ก่อนที่จะเสนอแก้ปัญหาน้ำแพงให้คนใช้รถเมื่อจำเป็นแล้ว ในอดีตพลเอกประยุทธ์ยังเสนอเรื่องดังนี้ เมื่อหมูราคาแพงเสนอให้กินไก่แทน เสนอให้ทุกบ้านเลี้ยงไก่ 2 ตัวเพื่อกินไข่ มะนาวแพงให้ปลูกเองและให้ใช้มะขามเปียกแทน ผักชีแพงให้ทหารปลูก อาหารทะเลแพงบอกไม่ต้องกิน ค่าทางด่วนขึ้นราคาบอกให้คนรวยใช้ส่วนคนจนวิ่งข้างล่างคือความเท่าเทียม และ รถบรรทุกประท้วงจะให้รถทหารมาบรรทุกแทน เป็นต้น และยังมีข้อแนะนำเฉิ่มๆแบบนี้อีกมากมาย ซึ่งแสดงกรอบคิดของพลเอกประยุทธ์ว่าเป็นคนล้าสมัยและตกยุคไปแล้ว ไม่เหมาะสมที่จะบริหารประเทศในภาวะที่โลกกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้รับฟัง นายอนันต์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาแนะนำว่าถึงเวลาที่ต้องให้คนรุ่นใหม่ ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็ตามต้องมีความคิดใหม่ๆมาบริหารประเทศแล้ว คนแก่ที่มีหลักคิดล้าหลังตกยุคแบบที่พิสูจน์แล้วจากคำพูดของพลเอกประยุทธ์เอง ต้องออกไปได้แล้ว มิเช่นนั้น ก็จะยังสำคัญตนผิดคิดว่า รักชาติ ตั้งใจดี แต่ความสามารถไม่ถึง หลักคิดไม่ได้ ซึ่งกลับจะยิ่งทำให้ประเทศเสื่อมถอย ประชาชนยิ่งลำบากเหมือนที่ผ่านมา 7 ปีเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว
อย่างไรก็ดี ในภาวะวิกฤตินี้ คนรุ่นใหม่ที่มีความคิดใหม่จะหาทางเปลี่อนวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ และหาทางปรับประเทศให้ก้าวหน้าโดยอาศัยสภาวะที่เกิดขึ้นเป็นตัวช่วยและอยากเสนอ 8 แนวทางดังนี้
1. การเร่งเปลี่ยนให้เอกชนเข้ามาร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มของประเทศเพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อราชการประหยัดเวลาในการเดินทาง อีกทั้งพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีต่อเนื่องได้มากขึ้น
2. เร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าให้มากขึ้น และในราคาที่ถูกลง รวมถึง เร่งส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้มากขึ้น รวมถึงพาหนะในรูปแบบอื่นที่ใช้พลังงานไฟฟ้า
3. เร่งพัฒนาการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียนที่เป็นอนาคตของโลก เพื่อแทนที่การใช้พลังงานจากฟอสซิลให้เร็วที่สุด
4. เร่งเจรจาหาแหล่งพลังงานที่สามารถนำขึ้นมาใช้ได้ เพื่อลดราคาพลังงานที่ต้องนำเข้า
5. ปรับเปลี่ยนเมืองใหญ่ให้เป็นเมืองอัจฉริยะที่เป็นอัจฉริยะจริงๆ ที่ต้องประหยัดพลังงาน และ ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม
6. ลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นของรัฐบาล ค่าใช้จ่ายใดยังไม่จำเป็นต้องตัดออกทันที หรือ เลื่อนไปก่อนเช่น ยกเลิกการซื้อเครื่องบินรบ F-35 ค่าใช้จ่ายการดูงานต่างประเทศ ตัดเงินเดือน สว. และ ผู้ติดตามลงครึ่งหนึ่ง ขอเงินคืนค่าเรือดำน้ำที่ไม่มีเครื่อง เป็นต้น เพื่อนำมาใช้ช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนก่อน
7. นำเงินกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 20,087.42 ล้านบาท ที่พลเอกประยุทธ์โอนไปมาคืน เพื่อไม่ให้กองทุนน้ำมันต้องกู้มากเกินไป โดยได้ทวงถามมาหลายหนแล้ว แต่ยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้
8. ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงเหลือ ลิตรละ 0.005 บาท เพื่อคงราคาดีเซลให้ตำกว่าลิตรละ 30 บาท ภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินยังมีอยู่อีกลิตรละ 2.99 บาท ที่ยังจะลดได้
นี่เป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้นที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเสนอมาตลอด แต่พลเอกประยุทธ์ไม่เข้าใจ เพราะถ้าเข้าใจก็น่าจะต้องคิดได้เองแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ไปศึกษาและทบทวนเรื่องเหล่านี้ เพื่อแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว และอีกเรื่องที่สำคัญคือไม่อยากให้มีความสับสนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญบัตร 2 ใบ ในเมื่อต้องการแก้ไขให้เสียงประชาชนเป็นเสียงที่ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ความพยายามจะเล่นแร่แปรธาตุที่จะใช้ 500 เสียงมาคำนวณ สส. บัญชีรายชื่อ น่าจะเป็นความตั้งใจจะมั่ว เพราะจะแก้รัฐธรรมนูญบัตร 2 ใบทำไม ถ้าจะหันกลับไปคำนวณแบบนั้น ยังไม่ทันจะเลือกตั้งเลยกลับกลัวพรรคเพื่อไทยจะชนะแลนด์สไลด์แล้ว แสดงให้เห็นเลยว่าตนเองบริหารล้มเหลวจึงกลัวพรรคเพื่อไทย หมดเวลาของผู้บริหารที่ล้มเหลวแล้วอย่าถ่วงความเจริญของประเทศอีกเลย