ไม่พบผลการค้นหา
นายกฯ เรียกทีม ศก.ถกด่วน จ่อชง ครม.ขยายการช่วยเหลือค่าครองชีพอีก 3 เดือน คาดเริ่ม ก.ค.นี้ ครม.ขยายมาตรการช่วยเหลือเรื่องพลังงานที่ใกล้หมดอายุสิ้น มิ.ย.ออกไปอีก 3 เดือน ขอโรงกลั่นนำส่งกำไรเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

วันที่ 16 มิ.ย. ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 15.25 น. วันเดียวกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมหารือมาตรการลดผลกระทบของประชาชนอันเนื่องมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ร่วมกับ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้ 

ที่ประชุมได้หารือมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์วิกฤตราคาพลังงานที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนิน 10 มาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนไปแล้ว ซึ่งบางมาตรการใกล้จะครบอายุของมาตรการ โดยที่ประชุมได้พิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจและแนวโน้มของปีนี้ ที่เริ่มมีการปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีปัญหาเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าค่าเฉลี่ยของเงินเฟ้อปี 2565 จะอยู่ที่ประมาณ 6.2% แต่แนวโน้มทั้งปีเศรษฐกิจยังคงจะเติบโตได้จากการเปิดภาคการท่องเที่ยว แต่ปัญหาหลักในวันนี้คือราคาพลังงานและค่าครองชีพของประชาชน ดังนั้น กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลัง จึงได้นำเสนอมาตรการเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยบางส่วนเป็นเบื้องต้น ดังนี้ 

การต่ออายุในส่วนของมาตรการที่ใกล้จะหมดอายุ เช่น การให้ความช่วยเหลือเรื่องก๊าซเอ็นจีวี สำหรับรถแท็กซี่ การให้ส่วนลดในการซื้อก๊าซแอลพีจีสำหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มาตรการขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้คงค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลุ่มดีเซลหมุนเร็วไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร ที่จะต่อถึงสิ้นเดือน ก.ย. 2565 

มาตรการเรียกเก็บกำไรส่วนหนึ่งจากค่าการกลั่นน้ำมัน ที่กระทรวงพลังงานมีอำนาจดำเนินการได้ตามกฎหมาย เพื่อช่วยเหลือกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีการอุดหนุนราคาดีเซลและราคาก๊าซต่างๆ ที่ประมาณการ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน จะมีสถานะกองทุนติดลบอยู่ที่ 9 หมื่นกว่าล้านบาท โดยกระทรวงพลังงานขอความร่วมมือจากกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในการขอให้นำส่งกำไรส่วนหนึ่งที่เกิดจากการกลั่นน้ำมัน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงวิกฤตราคาน้ำมันแพงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เพื่อเป็นการช่วยเหลือกองทุนฯ เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ ก.ค. ถึง ก.ย. 2565 โดยเป็นการเก็บจากการกลั่นน้ำมันดีเซลส่วนหนึ่งประมาณ 5,000 – 6,000 ล้านบาทต่อเดือน และเรียกเก็บจากการกลั่นน้ำมันเบนซิน ที่จะเรียกเก็บน้อยกว่าดีเซล ซึ่งคาดว่าจะเก็บในส่วนของเบนซินได้ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยในส่วนของเบนซินจะนำมาลดราคาให้กับผู้ใช้น้ำมันเบนซินในทันทีทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ คาดว่าจะลดราคาได้ประมาณ 1 บาทจากราคาปัจจุบัน แต่ในส่วนของการกลั่นที่เก็บได้จากน้ำมันดีเซลจะนำเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อช่วยบรรเทาสถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ติดลบอยู่ 

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการขอความร่วมมือจากโรงแยกก๊าซที่มีต้นทุนแอลพีจีที่จำหน่ายเป็นวัตถุดิบในภาคปิโตรเคมี ที่มีกำไรส่วนเกินอยู่ส่วนหนึ่ง โดยกระทรวงพลังงานจะขอให้นำกำไรส่วนเกินนี้ 50% เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเช่นกัน คาดจะนำเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 1,500 ล้านบาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน

นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานจะเสนอขอความร่วมมือภาคเอกชน โดยเฉพาะห้างร้านต่างๆ ได้ช่วยกันประหยัดพลังงาน โดยจะมีการจัดทำรายละเอียดต่างๆ เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 21 มิ.ย.นี้ 

ขณะที่กระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว เป็นมาตรการเชิงภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว สนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาในประเทศสำหรับบริษัทเอกชนที่เป็นนิติบุคคลต่าง ๆ หักรายจ่ายสำหรับค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าเดินทาง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับอบรมสัมมนาในประเทศ รวมถึงค่าจัดงาน Event/Exhibition เมืองรอง หักภาษีได้ 2 เท่า เมืองหลัก หักภาษีได้ 1.5 เท่า ระยะเวลาตั้งแต่ 15 ก.ค. ถึง 31 ธ.ค. 2565 โดยมาตรการดังกล่าวจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมดังกล่าวนายกฯ ได้เรียกประชุมทีมเศรษฐกิจด่วน หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากที่สุดในรอบ 28 ปี ซึ่งอาจกระทบกับภาวะตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก