ถือเป็นครั้งแรกๆ ที่ ‘ธนาธร’ ประกาศลงถนน โดยส่งเสียงไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ว่าการชุมนุมครั้งนี้เป็นเพียงแค่การชิมลาง อย่าพึ่งกลัว ของจริงเดือนหน้า (ม.ค.63) ซึ่ง ‘ธนาธร’ ได้เปิดใจว่า ถ้าไม่ให้ลงถนน ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงการออกมาของ ‘แฟลชม็อบธนาธร’ ไม่ใช่แค่ดูเพียงรัฐธรรมนูญที่ให้สิทธิในการชุมนุม แต่ให้ดูกฎหมายลูกอื่นๆ ด้วย เช่น พ.ร.บ.การชุมสาธารณะ พ.ร.บ.จราจร เพราะถ้าไม่ขัดกฎหมายลูก ก็ไม่มีใครขัดข้อง อีกทั้งขอให้ระมัดระวังการเผชิญหน้า พร้อมขอให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นมาว่าเห็นสมควรหรือไม่ หรือมีความคิดเห็นอย่างไร โดยเฉพาะ ‘คนที่เดือดร้อน’ ก็ต้องออกมาพูดบ้าง ว่าอย่าทำกันเลย ต้องมีมาตรการทางสังคมด้วยที่จะต้องช่วยกัน
ซึงจุดนี้เองจึงมีการมองว่าเป็นการให้ ‘คนเดือดร้อน’ จากการชุมนุมออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่ แน่นอนว่าการออกมาย่อมเป็นคุณกับฝ่ายรัฐบาล โดยยุทธการเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่ทุกการชุมนุมย่อมมีคนหนุนและคนต้าน ทั้งนี้น่าสนใจว่าสถานการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดความคาดหมายของฝ่ายความมั่นคงแน่นอน
หากย้อนกลับไป พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เคยกล่าวขณะจัดทอล์กแผ่นดินของเราฯ เมื่อวันที่ 11 ต.ค. ที่ผ่านมา ก่อนจะงดการให้สัมภาษณ์มานานแล้วกว่า 2 เดือน โดยสิ่งที่ พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวคือการกล่าวโจมตี ‘ธนาธร’ โดยผูกโยงกับม็อบที่ฮ่องกง หลังขึ้นภาพเงาปริศนาถ่ายรูปคู่ ‘โจชัว หว่อง’ ที่ฮ่องกง โดยในขณะนั้น พล.อ.อภิรัชต์ ได้ตั้งคำถามว่า “ถ้าวันหนึ่งคนที่มันผิดหวัง คนที่ยั่วยุปลุกปั่น คนที่ใช้โซเชียลฯ คนที่ใช้การโฆษณา Propaganda มาปั่นสมองน้องๆ ให้ออกมาแบบฮ่องกง น้องๆจะออกมาไหม”
การเกิดขึ้นของแฟลชม็อบได้เกิดคำว่า ‘ลัทธิชังชาติ’ ขึ้นมา โดยคำว่า ‘ชังชาติ’ เริ่มมีการใช้แรกๆหลังมีเพลงประเทศกูมีออกมาช่วง ต.ค.61 แต่ถูกนำมาผลิตซ้ำอีกครั้งในระยะนี้ โดยเพิ่มคำว่า ‘ลัทธิ’ เข้าไป ทั้ง ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’อดีตเลขาธิการ กปปส. ในฐานะที่ปรึกษาพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้ออกมาพูดถึงเรื่อง ‘ลัทธิชังชาติ’ ในหลักสูตร “อุดมการณ์ และการสื่อสารทางการเมือง” ที่มูลนิธิธรรมอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โดยมองว่าขณะนี้ประเทศยังไม่ปลอดภัย เพราะมีลัทธิชังชาติเตรียมสร้างความขัดแย้งรอบใหม่ พร้อมตั้งข้อสังเกตการชุมนุมของพรรคอนาคตใหม่ด้วย
“ถ้านายธนาธรและชาวพรรคอนาคตใหม่ เกิดกลัวว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย มีคำสั่งตามตัวบทกฎหมาย แล้วจะเกิดผลเสียหายกับพรรคกับนายธนาธร แล้วจะมาชวนประชาชนให้ลงถนนไปช่วยด้วย อย่างนี้ก็ไม่ค่อยยุติธรรมกับประเทศ ไม่ยุติธรรมกับประชาชนเท่าไหร่” นายสุเทพ กล่าว
ตามมาด้วย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรครวมพลังประชาชาติไทย ได้กล่าวบนเวทีปราศรัยอบรมให้ข้อมูลประชาชนเรื่อง“อุดมการณ์และการสื่อสารทางการเมือง” ซึ่งมีเนื้อหาหลักคือ “ต่อต้านลัทธิชังชาติ” ในเวทีแรก ที่ จ.พิษณุโลก โดย นพ.วรงค์ ได้ตีความหมายลัทธิชังชาติออกเป็น 5 ข้อ ได้แก่ 1. จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ 2. ไม่เอาศาสนาและเอาศาสนามาสร้างความขัดแย้ง 3. ดูถูกวัฒนธรรมประเพณี ดูถูกประเทศตัวเอง 4.ชักศึกเข้าบ้าน มีปัญหาอะไรก็ไปฟ้องต่างชาติ 5. ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม
ถือเป็นการฉายภาพ ‘ธนาธร-อนาคตใหม่’ ไปในแนวทางเดียวกับ พล.อ.อภิรัชต์ ก่อนหน้านี้ด้วย โดยเมื่อ 2 เดือนก่อนบนเวทีทอล์กแผ่นดินของเราฯ พล.อ.อภิรัชต์ ได้กล่าวพาดพิงขั้วต้านรัฐบาลไว้หลายวาทะ รวมทั้งย้อนอดีตไปสมัยการยุบพรรคการเมืองบางพรรคด้วย
“พวกนักวิชาการ อาจารย์บางคน ที่คบคิดกับพวกคอมมิวนิสต์เดิม เป็น Mastermind เป็นคลังสมอง ร่วมกับ นักเรียนนอก ซ้ายจัดดัดจริต ไปเรียนในประเทศที่เคยล่าอาณานิคม อบรมสั่งสอน ไร้จรรยาบรรณ ชอบอ้างตัวเลข 2475 เป็นตัวชี้นำ อ้างว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย แต่มีวาทกรรมจาบจ้วง” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
“นักธุรกิจเจ้าของโรงงานที่เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทอง ชีวิตไม่เคยลำบาก เหมือนพวกฮ่องเต้ซินโดรม เคยชุมนุมร่วมกับคนเผาบ้านเผาเมือง สมคบคิดกับชาวต่างชาติ ชักศึกเข้าบ้าน เจาะพฤติกรรมล้างสมองคนรุ่นใหม่เพื่อเป็นฐานให้กับตนเข้าสู่การเมือง มีพฤติกรรมล้มล้างชาติ สถาบัน” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
“ผมจำไม่ได้ว่าปีอะไร ปี45-46มั้ง ผมได้มีโอกาสเข้าไปนั่งฟังการตัดสินการยุบพรรคการเมือง ไปติดตามสถานการณ์ หลังจากมีการตัดสินให้ยุบพรรคการเมืองหนึ่งเกิดขึ้น เริ่มมีความไม่พอใจ แสดงออกในรูปแบบต่างๆ ว่าตัดสินไม่สมควร มีการแทรกแซงผู้พิพากษา ทำให้ผู้พิพากษาขาดความน่าเชื่อถือ บางคนถูกตัดสินคดีความไม่ยอมรับผิด เงินซื้ออะไรก็ได้เหรอ แต่เงินซื้อความยุติธรรมในประเทศไทยไม่ได้” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว
ดังนั้นการขึ้นเวทีทอล์กของ พล.อ.อภิรัชต์ จึงไม่ใช่เพียงการเปิดหน้าชนกับพรรคอนาคตใหม่เท่านั้น แต่เป็นการมองข้ามช็อต สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น โดยเฉพาะชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่และการเคลื่อนไหวหลังจากจัดทอล์กเมื่อ 2 เดือนก่อน ที่มาจากการประเมินของพล.อ.อภิรัชต์ เอง ทำให้ในสถานการณ์เช่นนี้ พล.อ.อภิรัชต์ จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบเพื่อรอสัญญาณบางอย่างอีกครั้งในการออกมาพูด เพราะคำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ ถือว่ามีน้ำหนักไม่น้อย ด้วยตำแหน่งและบทบาทสำคัญที่มีอยู่
แต่ก็มีเสียงเตือนจากคนกันเอง ในฐานะผู้มากประสบการณ์บนถนนอย่าง ‘สนธิ ลิ้มทองกุล’อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ออกมาเตือนตั้งแต่ปลายเดือนก.ย.62 ว่าอย่าบีบหรือแกล้งพรรคอนาคตใหม่มากจนเกินไป เพราะหนังม้วนเดิมจะเกิดขึ้นมาอีก เฉกเช่นสมัยที่ตนต่อสู้กับ ‘อดีตนายกฯทักษิณ’ เรียกได้ว่าออกมาเตือนตั้งแต่ไก่โห่
“วันนี้ไม่ได้เข้าข้างพรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้เข้าข้างนายธนาธร แต่พูดจากประสบการณ์ อะไรก็ตามของคนๆหนึ่งหรือกลุ่มคนหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตามหรือผู้ชื่นชมเขา คือ คนรุ่นใหม่ ถ้าเราไปแกล้งเขามากขึ้น หรือเข้าไปบีบเขามากขึ้น ใครจะไปรู้ พรรคอนาคตใหม่ก็อาจจะต้องการที่จะถูกยุบพรรคก็ได้ เพราะถ้ายุบเมื่อไร คนที่ไม่เห็นด้วยกับพรรคอนาคตใหม่ ก็จะเฮกัน แต่นั่นคือการย้อนประวัติศาสตร์ในยุคที่ตนเองสู้กับนายทักษิณ ก็จะมีคนอีกมากมายมหาศาลเห็นใจพรรคอนาคตใหม่หรือ นายธนาธรขึ้นมาทันที ตรงนี้ต้องขอเตือนเอาไว้ก่อน” นายสนธิ กล่าว
สถานการณ์ที่บีบรัดเช่นนี้จึงต้องจับตาว่าจะเข้าทางใครกันแน่ เพราะเสียงภายใต้ขั้วหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็แตกเป็น 2 ทาง ที่จะต้องประเมินสถานการณ์กันต่อไป โดยจุดตัดสำคัญต่อไปคืองาน ‘วิ่งไล่ลุง’ 12 ม.ค.63 ที่ต้องจับตาว่าจำนวนผู้เข้าร่วมและบรรดานักการเมืองขั้วต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จะระดมพลได้มากขนาดไหน ตามที่ ‘ธนาธร’ บอกว่าของจริงคือเดือนหน้า รวมทั้งการเปิดศึกซักฟอกรัฐบาลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะตามมาด้วย
เข้าทางใครได้รู้กัน !
ข่าวที่เกี่ยวข้อง