ไม่พบผลการค้นหา
‘แสวง’ เลขาฯ กกต. เผยความคืบหน้ากรณีสอบสวน ‘พิธา’ ปมหุ้นไอทีวี ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน คกก.ไต่สวนเรียกให้ข้อมูล ปัดตอบยื่น ม.82 ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ย้ำต้องพิจารณาจากพยานหลักฐาน

วันที่ 29 มิ.ย. แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการตรวจสอบการถือหุ้นไอทีวีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่า เรื่องนี้มีความสลับซ้อนทางกฎหมาย สืบเนื่องมาจากคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยสามารถดำเนินการได้หลายวิธี ตามห้วงเวลา สถานะ วิธีการ และการวินิจฉัย โดยเงื่อนไขแรก ก่อนการเลือกตั้ง คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเป็นเรื่องของผู้สมัครซึ่งจะต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยจะเชิญผู้มีลักษณะต้องห้ามหรือขาดคุณสมบัติมาชี้แจงหรือไม่มาชี้แจงก็ได้ ก่อนส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัย โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีทั้งหมด 37 คดี

สำหรับเงื่อนไขที่สองนั้น หลังการเลือกตั้งแต่ยังไม่ได้ประกาศรับรอง ส.ส. หากพบว่า ขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้าม คณะกรรมการไต่สวนจะดำเนินการตามมาตรา 151 ซึ่งเป็นการดำเนินคดีอาญา และเป็นอำนาจของคณะกรรมการไต่สวนที่จะเชิญ พิธา มาให้ข้อมูล ตามระเบียบ ซึ่งส่วนตัวยังไม่ได้รับรายงานเพราะเป็นความลับของคณะกรรมการไต่สวน สำนักงาน กกต. ไม่อาจแทรกแซงได้ โดยกรอบระยะเวลาการไต่สวน 20 วัน จะหมดลงในวันที่ 3 ก.ค.นี้ ยังไม่มีการขอขยายระยะเวลาไต่สวนแต่อย่างใด 

ส่วนหลังประกาศรับรอง ส.ส. จะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ โดยมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย จะเชิญหรือไม่เชิญผู้ถูกกล่าวหาก็ได้ ซึ่งขณะนี้มีผู้ร้องแล้วหลายราย แต่ต้องมีหลักฐานเพียงพอให้ กกต.พิจารณาด้วย 

เมื่อถามว่า การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 82 จะต้องยื่นก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหรือไม่ แสวง กล่าวว่า กกต.ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐาน และมีความเห็นก่อน ส่วนจะต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อนโหวตเลือกนายกฯ นั้น ไม่เป็นประเด็นที่ กกต.จะมาพิจารณา 

แสวง กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติให้สอบถามไปยังอัยการสูงสุดว่าจะรับหรือไม่รับคำร้อง กรณี พิธา และพรรคก้าวไกล หาเสียงแก้ ม.112 จะมีผลมาถึง กกต.หรือไม่ แสวง กล่าวว่า ตามกฎหมายพรรคการเมือง เราจะพิจารณาว่า การกระทำนั้นมีอำนาจให้กระทำหรือไม่ และกระทำตามขั้นตอนหรือไม่ แต่หากผู้ร้องเห็นว่าการกระทำดังกล่าวล้มล้างระบอบการปกครองจะต้องไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49