ไม่พบผลการค้นหา
โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่มี “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” เป็นแกนนำหลัก ระดมวาทะโจมตีพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง เช่น ยก “ทักษิณ” เป็น ผู้ร้ายหน้าเก่า ยก “ธนาธร” เป็นผู้ร้ายหน้าใหม่ ขณะที่ ผบ.ทบ. ซึ่งควรวางตัวเป็นกลาง ก็รับลูกด้วยการโยนวาทกรรม “หนักแผ่นดิน”​ โจมตีพรรคเพื่อไทย ถือเป็นปฏิบัติการ ปลุก “ขวาพิฆาต-พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย” ที่สะท้อนถึงความพยายามในการเอาชนะทางการเมืองแบบไม่เลือกวิธีการนับจากนี้เป็นต้นไป

การเมืองไทยหลังวันที่ 8 กุมภา หรือที่สื่อใหญ่นิยามว่าเป็น “วันแผ่นดินไหวทางการเมือง” ที่ใหญ่โตที่สุดครั้งหนึ่งของไทย และทำให้พรรคอนาคตใหม่กลับมามีชีวิตทางการเมืองที่รุ่งโรจน์อีกครั้ง หลังเงียบไปพักใหญ่

ชีวิตทางการเมืองใหม่นี้ มาพร้อมกับกระแสความนิยมทั้งในโลกออนไลน์และออนกราวด์ ไม่เพียงกระแส “ฟ้ารักพ่อ” ที่สร้างยอดรีทวิตหลักหลายล้าน แต่ทุกพื้นที่ที่ “ธนาธร” ออกหาเสียง ยังมี “ฟ้าไปรอต้อนรับพ่อ” เป็นจำนวนมาก และสามารถแย่งชิงพื้นที่ในหน้า 1 ของสื่อใหญ่กลับคืนมาได้

ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยก็อยู่ในบรรยากาศคึกคัก เวทีปราศรัยใหญ่ของเพื่อไทยที่ลานคนเมือง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคือหนึ่งในบทพิสูจน์

เมื่อความนิยมของพรรคอนาคตใหม่ และพรรคเพื่อไทย อยู่ในสถานะสูงเช่นนี้ จึงตามมาด้วยปฏิบัติการปลุก “ขวาพิฆาต-พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย” ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามในการเอาชนะทางการเมืองแบบไม่เลือกวิธีการนับจากนี้เป็นต้นไป 

ยก 1 “ทำลาย ทษช.”

หลังปรากฎการณ์แผ่นดินไหวทางการเมืองในวันที่ 8 กุมภา ชื่อของ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” แห่งพรรคกำนันสุเทพ กลับมาแย่งชิงพื้นที่สื่ออีกครั้ง เขาโพสต์ข้อความทางแฟนเพจของตัวเองเป็นระยะ นับตั้งแต่วันที่ 9 กุมภา เป็นต้นมา โพสต์แรกคือ “พระราชโองการฉบับเดียวดับทุกข์ทวยราษฎร์ได้ดังพลัน” หลังจากนั้นตามด้วยโพสต์โจมตี พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยเป็นระยะ พยายามสร้างวาทกรรมที่เหมารวม อันตราย และสุ่มเสี่ยงต่อข้อกฎหมายการเลือกตั้งอย่างมาก ไล่เรียงตามลำดับดังนี้

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ : [ในทุกวันนี้เอง สถานะของพระมหากษัตริย์ก็ใช่ว่าจะมิถูกสั่นคลอน ยังมีคนจำนวนหนึ่งท้าทาย สงสัย กังขา หรือกระทั่งนินทาใส่ร้าย วิพากษ์โจมตี บางพวกกระทำการอยู่ใต้ดิน บางพวกกระทำการในต่างประเทศ ยังมีที่เคลื่อนไหวเชื่อมโยงเข้ากับพรรคหรือกลุ่มฝ่ายบนดิน ซึ่งหน่วยงานสันติบาลและข่าวกรองล้วนทราบดี จึงเป็นหน้าที่ของทุกกลุ่มทุกพรรค รวมทั้ง “รวมพลังประชาชาติไทย” ที่จะช่วยกันทำความเข้าใจกับประชาชน ร่วมกันต่อต้านพวก “ชังเจ้า” หรือ พวก “ล้มเจ้า” แต่ในขณะเดียวกัน ก็มิยอมให้ผู้ใดนำสถาบันเข้าไปเป็นฝักฝ่าย สถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ย่อมมิเป็นของพรรคใดฝ่ายใด หากเป็น “ของ” พวกเราทั้งมวล ซึ่งหมายถึงทุกพรรคทุกฝ่ายที่จงรักภักดีและศรัทธาบูชาต่อ “แผ่นดิน”] (10 กุมภา 2562)


ยก 2 “ทำลาย อนาคตใหม่”

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ : [มาเช้านี้อ่าน เปลว สีเงิน ด้วย ผมคิดว่ารากของปัญหาลึกกว่านั้นอีก หลายท่านเห็นอยู่ นานมาแล้วที่บ้านเมืองเราเกิดเป็นสองฝ่าย ฝ่าย “ท้าทาย” สถาบัน กับฝ่าย “รัก-ปกป้อง” การเลือกตั้งวันที่ 24 มีนานี้ จะมองว่าเป็นความต่อเนื่องของความขัดแย้งที่ผมกล่าวมา ก็ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 8 กุมภา ที่ผ่านมานี้ จะรู้เห็นข้ามพรรคกันหรือเปล่า จะโยงถึง “นายใหญ่” มากน้อย แค่ไหน ผมไม่อยากรู้

“ท้าทาย” ต่อไป จริง หรือเปล่า กล่าวหากันหรือเปล่า ขอให้อ่าน เปลว สีเงิน ดูเอง ท่านจะเห็นอย่างผมหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่อย่าให้ใครมากล่อมง่ายๆ ว่าพรรคเหล่านั้น รวมทั้งอีกพรรคหนึ่งซึ่งเอนไปทางนั้นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อคะแนนเสียง เป็น “ประชาธิปไตย” ที่ “แสนดี” ] (12  กุมภา)

นับเป็นครั้งแรกที่ เอนกพุ่งเป้าไปที่ธนาธร โดยตรง ถือเป็นความพยายามในการเปลี่ยนนิยามการเลือกตั้งของธนาธรด้วยวาทกรรมใหม่ที่อันตรายอย่างยิ่ง

ธนาธร นิยามการเลือกตั้งครั้งนี้ในไทยรัฐดีเบตว่า “เป็นการต่อสู้ของพรรคฝ่ายประชาธิปไตย กับ พรรคฝ่ายเผด็จการ”

ขณะที่ เอนก นิยามการเลือกตั้งนี้ครั้งนี้อย่างป้ายสีว่า “นานมาแล้วที่บ้านเมืองเราเกิดเป็นสองฝ่าย ฝ่าย “ท้าทาย” สถาบัน กับฝ่าย “รัก-ปกป้อง” การเลือกตั้งวันที่ 24 มีนานี้ จะมองว่าเป็นความต่อเนื่องของความขัดแย้งที่ผมกล่าวมา ก็ได้”


ยก 3 “ผู้ร้ายหน้าเก่า-ผู้ร้ายหน้าใหม่”

เมื่อพรรคกำนันสุเทพ จัดปราศรัยใหญ่ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แทนที่จะเป็นเวทีในการนำเสนอนโยบายทางการเมือง ทว่าสิ่งที่ปรากฎเป็นข่าวต่อเนื่อง คือ การสร้างวาทกรรมใหม่ ยก “ทักษิณ”​ เป็น “ผู้ร้ายหน้าเก่า”​ และ ยก “ธนาธร” เป็น “ผู้ร้ายหน้าใหม่”

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ : “เราต่อสู้อย่างหนักครั้งนี้ เพื่อไม่ให้ตัวร้ายตัวเก่ากลับมาบริหารประเทศได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพวกนี้เคยสร้างความเสียหายให้บ้านเมืองมากมายเหลือคณานับ โดยเฉพาะเรื่องทุจริต แล้วยังหลบหนีคดีนอกประเทศ ปล่อยให้ลูกน้องติดคุกหลายคน ขณะที่เจ้าตัวยังเย้ยหยันหลักนิติธรรมอยู่นอกประเทศ ล่าสุด ทษช. ซึ่งเป็นพรรคแบงก์ร้อย พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อำนาจ แม้จะเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่กับระบบประชาธิปไตยที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด อำนาจเป็นสิ่งหอมหวานที่หลายคนต้องการ บางคนอยู่มาเป็นสิบปี ทำให้ประเทศเสียหาย ท่านต้องอย่านับว่าการเมืองเริ่มตั้งแต่ปี 2557 แต่มันเริ่มตั้งแต่ปี 2549 แล้ว ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง คนพวกนี้ก็จะพยายามกลับมาสู่อำนาจให้ได้ ซึ่งเรื่อง ทษช.นั้น ตนไม่ได้กล่าวหา แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนประจักษ์ แล้ว ซึ่งเป็นการกระทำที่ร้ายแรงมาก แต่จะไม่สรุปว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ขอให้ท่านทั้งหลายติดตามอย่างใกล้ชิด”

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดถึง และแสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งธรรมดา และไม่ได้มีแค่ตัวร้ายตัวเดิม แต่มีตัวใหม่ปรากฏด้วย คือหัวหน้าพรรคที่อายุประมาณ 40 ปี ที่ดูแล้วเหมือนคนรุ่นใหม่ แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นแบบนั้น ทั้งคำพูดและการกระทำของเขา ดูผิวเผินเมื่อได้ดูจากคลิปแล้ว เขาอยู่กับฝ่ายสีแดง และมีประวัติที่เคยทำเรื่องร้ายแรง เคยสนับสนุนวารสารฟ้าเดียวกัน ซึ่งเป็นวารสารที่ทั้งบรรณาธิการและผู้เขียนเฝ้าแต่จะวิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ แม้มีวิชาการนำหน้า แต่ในใจของเขาน่าสงสัย ซึ่งในวันนี้เขามาตั้งพรรคการเมือง ขณะที่ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค เสนอให้ยกเลิกมาตรา 112”

“พรรคนี้ไม่ใช่พรรคเสรีนิยมหรือพรรคก้าวหน้า เนื้อหาเป็นพรรคหยาบคาย และเทิดทูนหัวหน้าพรรคประดุจเทพ ซึ่งไม่ใช่พรรคประชาธิปไตย แต่เป็นพรรคบูชาบุคคล โดยเนื้อหาแล้วไม่ต่างจากตัวร้ายตัวเก่า หลอกประชาชนคนซื่อ วัยใสที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ซึ่งได้แต่หวังว่าคนจะเห็นมากขึ้นว่าพรรคนี้ธาตุแท้เป็นอย่างไร การเลือกตั้งในครั้งนี้ เราต้องทำเพื่อไม่ให้ตัวร้ายตัวเก่าและตัวใหม่ขึ้นมามีอำนาจเพื่อทำอะไรร้ายแรง การเมืองครั้งนี้ค่อนข้างซับซ้อน ต้องวิเคราะห์ให้ดี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากที่มีพรรค รปช.เกิดขึ้น

ยก 4 “หนักแผ่นดิน” 

จังหวะการโยนวาทกรรมจาก เอนก ซึ่งพุ่งเป้าโจมตีไปยัง “ทษช.- อนาคตใหม่” ถูกรับลูกอย่างดีจาก “ผู้บัญชาการทหารบก”

ภายหลังจบพิธีวันคล้ายวันสถาปนา กอ.รมน.ครบรอบ 11 ปี ประจำปี 2562 ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถาม พล.อ.อภิรัชต์ ถึงดูแลสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงหาเสียงขณะนี้ โดย พล.อ.อภิรัชต์ย้อนถามกลับว่า “เพลงอะไรที่กำลังฮิตตอนนี้ ก็เพลงหนักแผ่นดินไง”

ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามต่อถึงกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย และหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยเสนอนโยบายตัดงบกลาโหม 10 เปอร์เซ็นต์ และยกเลิกการเกณฑ์ทหาร พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่า “ก็ให้ไปฟังเพลงหนักแผ่นดินไง”

วาทกรรม #หนักแผ่นดิน กลับมาเป็นที่สนทนาของสังคมไทยอีกครั้ง หากประเมินจากโลกออนไลน์จะพบว่า เป็นลบต่อกองทัพอย่างมาก ตัวพล.อ.อภิรัชต์เองได้รับคำวิจารณ์ว่า ไม่เป็นกลางทางการเมือง มีการขุดคุ้ยประวัติครอบครัวขึ้นมาประจานทางการเมือง ทั้ง พ่อที่ทำการรัฐประหาร และมีทรัพย์สินจำนวนมาก ไปจนถึง ภรรยาที่นั่งเป็นบอร์ด ไทยเบฟ ขณะเดียวกันก็จุดกระแส “ปฏิรูปกองทัพ” ให้กลับมาเป็นที่สนทนาอย่างจริงจังอีกครั้ง

แม้จะเป็นลบในโลกออนไลน์ แต่เท่ากับว่า ผู้มีอำนาจในประเทศนี้ โดยเฉพาะคณะรัฐประหาร และกองทัพได้รับสัญญาณให้เดินหน้าสู่การเลือกตั้งในบรรยากาศที่อนุญาตให้มีการปลุกกระแส “ขวาพิฆาต-พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย” ให้กลับมาทำงานอีกครั้ง เป็นการอนุญาตให้กองทัพไทยเข้ามีบทบาทโดยตรงในการหนุนเสริมพรรคการเมืองฝ่าย คสช. เป็นสัญญาณอันตรายต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงอย่างมาก

ไม่เพียงชี้นำ สังคมไทย ว่าควร “เลือกพรรคใด” ในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ยังเป็นอันตรายต่อสุขภาวะของระบอบประชาธิปไตยโดยรวม เหมือนที่ “ประจักษ์ ก้องกีรติ” เตือนผ่านข้อความส่วนตัว ว่า #หนักแผ่นดิน "เป็นเพลงที่ขบวนการฝ่ายขวาใช้ปลุกระดมความเกลียดชังต่อนักศึกษา และประชาชนที่เคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคมหลัง 14 ต.ค. การปลุกระดมทำผ่านวิทยุของหน่วยความมั่นคง กองทัพและสื่อฝ่ายขวา จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมสังหารหมู่นักศึกษาที่ธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ต.ค. 2519"

เมื่อ “เอนก-พรรครวมพลังประชาชาติไทย”​ เดินเกมส์ขนานไปกับ “คณะรัฐประหาร”​ “กองทัพ” และ “พรรคหนุน คสช.” เช่นนี้ จึงอยากชวนย้อนกลับไปอ่านสุนทรพจน์แรกทางการเมืองของเอนกหลังตั้งพรรค ในช่วงเดือน มิ.ย.2561 อีกครั้ง ซึ่งย้ำถึงภารกิจของพรรค รปช.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ดี และเป็นจริงดังว่าในเวลาต่อมา

“การทำการเมืองเที่ยวนี้ไม่มีแพ้ เพราะเป็นการทำเพื่อแผ่นดิน เพื่อบ้านเมือง และเพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน สถาบันดั้งเดิมเป็นของสูงส่ง ขนบธรรมเนียมเป็นสิ่งดีงาม ดังนั้น เราจะปฏิรูป ไม่ปฏิวัติ ไม่โค่นล้ม ไม่ทำการเมืองด้วยความชิงชัง มีแต่จะทำให้เกิดการเมืองแห่งความรู้รักสามัคคี"

“เราจะเป็นพรรคของพลเมือง แต่พลเมืองนี้จะต้องเป็นพสกนิกรที่รักภักดีและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และจะต้องปกป้องสิ่งดีงามทั้งหมดที่บรรพชนไทยได้ทำเอาไว้ อย่าให้ใครมากวาดมันทิ้ง...ข้ามศพพวกเราไป ข้ามศพพวกเราไป”

ถือเป็นอีกปฏิบัติการอันตราย ก่อนก้าวถึงวันที่ 24 มีนาคม 2562!!  

วยาส
24Article
0Video
63Blog