สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่ามีแนวความคิด จะดึง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาช่วยงานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ภายหลังพ้นโทษ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความรู้สึกของท่านนายกฯ ซึ่งก็ต้องเข้าใจท่าน แต่โดยส่วนลึกของตนยังไม่มีความเห็น แต่ใครก็ตามในประเทศนี้ที่เป็นคนที่มีคุณค่า และคิดว่ามีประโยชน์ต่อประเทศ ตนก็คิดว่าก็ควรให้โอกาสในการรับใช้สังคม พร้อมยืนยันว่าไม่ได้เป็นการเจาะจงคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ ทักษิณ
เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าวจะถูกนำไปโยงเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ เนื่องจาก ทักษิณเคยประกาศว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก สุทิน ระบุว่า โดยส่วนตัวมีความเห็นว่ายังไม่ได้ระบุว่าจะเป็น ทักษิณ และหากเป็น ทักษิณ ก็คงคิดดูอีกหลายๆด้าน
เมื่อถามถึงกรณีที่ สว.ออกมาเบรกในประเด็นดังกล่าว สุทิน ตอบว่า ก็ต้องรับฟัง
ส่วนประเด็นดังกล่าวจะกลายเป็นสายล่อฟ้าแก่รัฐบาลหรือไม่ สุทิน กล่าวว่า ก็ต้องรับฟังทุกความเห็น ทั้งความเห็นสนับสนุนและความเห็นต่างซึ่งก็ต้องฟัง เพราะตนก็ฟังทุกความเห็น
สุทิน กล่าวถึงกรณีการจัดหาเครื่องยนต์เรือดำน้ำ ที่นายกรัฐมนตรี บอกว่าจะไปคุยกับเยอรมันระหว่างการไปประชุมสหประชาชาติ ที่สหรัฐฯ แต่ทางกองทัพเรือระบุว่าอาจจะจบที่จีน ว่า เรื่องนี้ก็ต้องฟังความเห็นกองทัพเรือด้วย เพราะเป็นผู้ใช้งานและได้ไปศึกษาทดสอบมาแล้ว แต่ท้ายที่สุดกระทรวงก็ต้องพิจารณาอย่างละเอียด โดยสุดท้ายก็ต้องไปจบที่ ครม.
ตนเชื่อว่า ทุกขั้นตอน ทั่งกระทรวงและ ครม. ต้องคำนึกถึงประโยชน์ของกองทัพและประเทศ เรื่องของประเทศสำคัญ รวมถึงต้องคำนึงถึงความรู้สึกประชาชน ซึ่งตอนนี้ตนยังได้รายละเอียดไม่มากพอ แต่กองทัพก็ได้พูดคุยให้ฟังเบื้องต้นแล้ว แต่วันที่เรื่องมาถึงก็จะได้ดูในรายละเอียดอีกที
เมื่อถามว่า มีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่ เพราะดูเหมือนกองทัพเรือ ยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องใช้เครื่องยนต์จากจีน สุทิน ระบุว่า ก็ต้องมาดูกัน เพราะตนคงไม่ตัดสินใจคนเดียว คงมีหลายฝ่ายมีพิจารณาร่วมกัน ซึ่วไม่ว่าจะเป็นทางเลือกใด ก็จะต้องไม่กระทบกับสมรรถนะของกองทัพเรือ และต้องไม่เสียผลประโยชน์ของประเทศ
ส่วนการยกเลิก ก็ยังไม่ได้ตัดทิ้งหรือไม่ สุทิน ตอบว่าก็ยังไม่ได้ตัดทิ้ง เชื่อว่าถ้า ครม. ยกเลิกก็ต้องมีทดแทน คงไม่ทำให้กองทัพต้องเสียหาย
ส่วนจะได้ข้อสรุปชัดเจนก่อนที่นายกฯ จะเดินทางเยือนประเทศจีน ในเดือน ต.ค. หรือไม่ สุทิน กล่าวว่า ก็มีกรอบเวลาของสัญญาอยู่ ก็ต้องยืนตามกรอบนั้น เราต้องทำให้ละเอียดรอบครอบ แต่อยู่ตามกรอบเวลา ส่วนจะทันหรือไม่ ก็ดูการพิจารณาตามความเป็นจริง
เมื่อถามถึงกรณีที่ ผบ.ทร. บอกว่าจะต้องจบภายในเดือนกันยายน ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ สุทิน ระบุว่า ท่านคงเป็นห่วง อยากให้กองทัพได้ นั่นคือความปราถนาดี แต่เราคิดว่าจะทันท่านเกษียณหรือไม่นั้น ก็ต้องยึดกรอบเวลาเวลา ต้องใช้กรอบเวลานั้นให้เป็นประโยชน์ที่สุด
สุทิน กล่าวภายหลังเป็นประธานในการประชุมสภาทหารผ่านศึก ครั้งแรงหลังรับตำแหน่ง ว่า การประชุมวันนี้เป็นครั้งแรกของตนเองและเป็นครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ 2566 โดยได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ที่ยังคงเท่าเดิม ส่วนปี 2568 เพิ่มมานิดหน่อยตามจำนวนทหารผ่านศึกที่มีเพิ่มขึ้น ซึ่งอยู่ในกรอบความจำเป็น
สุทิน ยังระบุว่า การประชุมครั้งนี้ยังไม่ได้มีการพิจารณาสรรหา ผอ.อผศ. คนใหม่ จะมาทดแทนคนเดิมที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ แต่คุณสมบัติ จะต้องเป็นคนที่สังคมยอมรับได้ รวมถึงประวัติความเป็นมาเป็นมาต้องไม่ด่างพร้อย และตนเองอยากได้ ผอ.อผศ.คนใหม่ ที่มีความคิดพัฒนา หารายได้เข้ามา มีความคิดเชิงธุรกิจ ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีใครในใจ
ส่วนเงินช่วยเหลือด้านสวัสดิการทหารผ่านศึก ก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ต้องคำนึงทุกภาคส่วนของประเทศ แต่แน่นอนที่สุดต้องให้ทหารผ่านศึกดำรงชีพอยู่ได้
ส่วนความรู้สึกในฐานะที่เป็นพลเรือนที่มีต่อทหารผ่านศึกนั้น สุทิน กล่าวว่า ตั้งแต่เป็นเด็กมองว่าทหารผ่านศึกคือฮีโร่ในดวงใจ และคิดว่าอยากเป็นทหาร พร้อมชื่นชมทหารที่ผ่านสนามรบ แต่ไม่คิดว่าจะได้มาทำงานร่วมกัน จึงคิดว่าทางใดที่จะช่วยให้ทหารผ่านศึกอยู่ได้ และมีบั้นปลายที่ดี ก็อยากจะทำ เชื่อว่าหากช่วยให้ทหารผ่านศึกได้รับการดูแลที่ดี ก็จะส่งผลถึงทหารประจำการด้วย เพราะคนที่เป็นทหารอยู่ตอนนี้ก็ต้องมองอนาคตของตนเอง หากได้รับการดูแลที่ดีก็จะมีกำลังใจ
สุทิน ยังเปิดเผยภายหลังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมา 2 สัปดาห์แล้ว ว่า กำลังมีความสุขขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาหนักๆ ก็ไม่เกินคาด ตอนเป็น สส. ก็ทราบว่ากระทรวงกลาโหม งานหนัก แต่ที่มีความสุขก็คือมาเจอความมีวินัยของทหาร ทหารมีวินัยก็มีความสุข ไม่ยุ่งปวดหัวเหมือนองค์กรที่ไม่มีวินัย พร้อมยอมรับว่าหากย้อนเวลาได้ก็อยากที่จะเป็นทหาร แต่วันนี้แก่แล้วคงไม่ไหว
ส่วนความคืบหน้าการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากพ้น 1 เดือนที่ ครม.อนุมัติไปนั้น สุทิน กล่าวว่า ก็ต่อเท่าที่จำเป็น ถ้าไม่ต่อเลยเขาก็ทำงานไม่ได้ หรือต่อมากก็มีผลกระทบ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า ที่รัฐบาลต่อเพราะเท่าที่จำเป็น เพราะคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ซึ่งฝ่ายที่ไม่อยากให้ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็มี แต่ความจำเป็นก็มี จึงต้องเอาแค่พองาม
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รักษาการผู้บัญชาการทหารบก กล่าวระหว่างการลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าหากจะยกเลิกต้องมีเครื่องมือให้ทหาร ฉะนั้นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ได้มีการเตรียมเรื่องดังกล่าวไว้หรือไม่ เพราะมีนโยบายเรื่องสิทธิและเสรีภาพ สุทิน ระบุว่า แน่นอน หากคำนึงถึงประชาชนทั่วไปเขาก็ต้องการมีสิทธิเสรีภาพมากด้วย แต่เมื่อไปชายแดนทั่วประเทศแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มันต้องมี พ.ร.ก. ฉุกเฉินหรือไม่ก็กฎอัยการศึก เพื่อให้ทหารทำงานได้ ซึ่งเราก็ยอมรับความจริงในเรื่องนี้อยู่ ฉะนั้นหากจะยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็ต้องมีกฎอัยการศึกหรือไม่ เรื่องนี้มันมีมากกว่าภารกิจของกองทัพบก เพราะเป็นเรื่องของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และนายกรัฐมนตรี ก็ต้องเข้ามาพูดคุยหารือกันด้วย เราฝ่ายปฏิบัติก็พูดได้เพียงเท่า
ส่วนมีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง แทนหรือไม่ หลัง ครม.มีแนวคิดดังกล่าว สุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ทราบ
หลังจากการประชุมเสร็จสิ้น องค์การทหารผ่านศึก ได้เลี้ยงอาหารรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทในลักษณะโต๊ะจีน เมนูประกอบด้วย หมูหัน หูฉลามน้ำแดง ออส่วน คะน้าเป๋าฮื้อ ปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว ผัดหมี่ และหม้อไฟทะเล ส่วนของหวาน เป็นเผือกโอนีแปะก๊วย