แกนนำพรรคพลังประชารัฐสาย กทม. ล้อมวงวิเคราะห์ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ต้อง “ปรับใหญ่” ดึงมือดี-มืออาชีพ มาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้รัฐบาล “กอดคอตายหมู่”
แม้ “ไม่มีสูตรสำเร็จ” การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ 2/2 ออกมาจากวงวิเคราะห์ แต่ “หอกพิฆาต” พุ่งตรงไปที่ “ทีมสมคิด” และ “ก๊วนสี่กุมาร”
ตามมาด้วยการผนึกกำลังของ “กลุ่ม กทม.” - “กุนซือนายกฯ” ปฏิบัติการขึ้น-ลงตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เดินเร่งปิดเกมเขย่าเก้าอี้-ปล่อยข่าว พล.อ.ประยุทธ์ “ไม่ปลื้ม” โครงการ “ชิมช้อบใช้” เพราะ “ผลาญงบ” นำมาซึ่งการ “เบรก” แจกเงิน 2 พันบาท
ขณะที่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ - “สุวิทย์ เมษินทรีย์” แกนนำกลุ่มสี่กุมาร โต้กลับ “มุ้งบิ๊กป้อม” เขย่าเก้าอี้ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เข้าข่าย “ถูกปรับออก”
1.ขาลอย-ไม่ได้จ่ายเงินให้พรรค
2.ไม่มีจำนวน ส.ส.อยู่ในมือ
และ 3.ไม่เข้าพรรค-พวก”
“ผมคิดว่าหากมีการปรับ ครม.และคัดเลือกรัฐมนตรีด้วย 3 เหตุผลนี้ ประเทศไทยคงไม่มีทางหลุดจากวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่สร้างปัญหาซ้ำซากแบบเดิมที่ยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ได้”
"สุวิทย์” เป็น “เป้าลอย” ถูก “เขี่ยออก” โดยมี 2 ฮ. "คอยเสียบ” โควตาที่ว่างลง
ส่วน “ลูกพี่สมคิด” หลังพิงฝา-คอยโต้กลับ ปล่อยให้สถานการณ์บีบบังคับ โดยเดินหมากผ่าน “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” แกนนำสามมิตร
เกมเขย่าโผ ครม.ประยุทธ์ 2/2 จะต้องทอดเวลาออกไปจากเดิมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นทันทีหลัง “ศึกซักฟอก”
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เปล่งวาจาว่าจะยังไม่มีการพูดถึงการ “ปรับ ครม.รอบใหม่” เพราะต้องแก้ปัญหาไวรัสโควิด-19 และภัยแล้ง
ขณะที่ ข่าวจับจองเก้าอี้รัฐมนตรีของ “2 ฮ.”- “ก๊กพี่ใหญ่” คือ “เสี่ยแฮ๊ง” อนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท-รองประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ และ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี – ประธาน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ยังคงเคลื่อนไหว
ส่วนปฏิบัติการปล่อยข่าวเสี้ยม “สลับเก้าอี้” โควตารัฐมนตรีสี่กุมาร-สามมิตร ปล่อยข่าวลือ-เลื่อยขาเก้าอี้ “โควตาพิเศษ” ยื่นใบลาออก-ถอดใจ ยังคงสร้างความปั่นป่วนทั่วทั้งทำเนียบรัฐบาล ให้ผู้ที่มีชื่อ “ถูกพาดพิง” ออกมาปฏิเสธข่าว-เลี้ยงกระแสการปรับ ครม.ประยุทธ์ 2/2
สำหรับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคค่ายสีน้ำเงิน ดูจะ “ขึ้นหม้อ” ภายหลัง “ช้อนซื้อ” 9 หุ้นเด่น-ทำกำไร ส่งผลให้ภูมิใจไทย กลายเป็นพรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดเป็น “อันดับ 3” ทันที
เป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงเป็น “อันดับ 2”
แถม 'อนุทิน' ยังเป็นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี “อันดับรอง” จาก พล.อ.ประยุทธ์ ในหมู่ขั้วรัฐบาล 20 พรรค
“เสี่ยหนู” ยัง “สงวนท่าที” ทำตัวเป็น “เด็กดี” แม้ภูมิใจไทยจะบริหารพอร์ต ส.ส.เพิ่มขึ้นเป็น 61 เสียง มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ “ทีมร่วมรัฐบาล” ที่มี ส.ส.เพียง 52 ที่นั่งในสภาฯ
หากมีการปรับ ครม.ประยุทธ์ 2/2-เกลี่ยโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีใหม่ โดยยึดโควตา 7 ส.ส. เท่ากับ 1 เก้าอี้เสนาบดี จะทำให้ 'ภูมิใจไทย' ได้เก้าอี้ฝ่ายบริหารเพิ่มอีก 1-2 เก้าอี้
ในห้วงเวลาที่ “อนุทิน” ชุลมุนอยู่กับการรับมือ “ไวรัสมรณะ” โควิด -19 (COVID-19)
แต่งานในสภากลับดึงงูเห่า “เติมเสียงรัฐบาล” ในสภาให้ “โผล่พ้นน้ำ” ผสมพันธุ์กับงูเห่าฝ่ายค้านได้เสียงรัฐบาล 273 เสียง
ขณะที่คลื่นลมทางการเมือง-แฟลชม็อบนักศึกษา เริ่มลุกลาม-ดาวกระจายไปทั่วประเทศ “อนุทิน” ก็เล่นบท “คนกลาง”
ส่วนความเคลื่อนไหวภายในพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะล้ม-เลิกการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 เพราะพิษไวรัส COVID-19 เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2563 ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามาการ์เด้นส์
ทว่า มีการ “ประชุมลับ” กันใน “กลุ่มไลน์” มีวาระเพื่อพิจารณา “ชิงถอนตัว” ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล เพราะ “หน้ากากเป็นพิษ” จากคนใกล้ชิดของ 'ธรรมนัส พรหมเผ่า' รมช.เกษตรและสหกรณ์
ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 “เงื่อนไข” เข้าร่วมรัฐบาล- ในกรณีรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการ คสช. เกิดการทุจริต
เข้าทาง “พนิต วิกิตเศรษฐ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ – ก๊วนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงความเห็นในไลน์กลุ่มดุเดือด-เลือดพล่าน
“ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วครับที่เราคงจะต้องตัดสินใจไม่พายเรือให้โจรนั่งแล้วครับ!”
ยิ่งย้อนไปเมื่อครั้งล่าสุด มติส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็โหวตกันเสียงแตกคาพรรค กรณีประเด็นจะไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจให้กับ 'ธรรมนัส' ซึ่งไม่สามารถชี้แจงได้เคลียร์ในสภาฯ ปมข้อกล่าวหาถูกศาลออสเตรเลียสั่งจำคุกฐานในคดียาเสพติด
มติ 24 ต่อ 17 เสียง ของ ส.ส.ทำให้ 17 เสียงต้องยอมกลืมเลือดเดินเข้าสภาฯ โหวตไว้วางใจให้ 'ธรรมนัส' ตามมติเสียงส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์
และยิ่งย้อนไปก่อนนาทีที่ออกมติเข้าร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องเล่นบทให้ 'อภิสิทธิ์' ทิ้งเก้าอี้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จนออกมาเป็นมติ 61 เสียงให้เข้าร่วมรัฐบาลภายใน 3 เงื่อนไข โดยมีเสียงไม่เห็นด้วย 16 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และบัตรเสีย 1 ใบ
แม้ "พล.อ.ประยุทธ์" ลองของ-ตะเพิดประชาธิปัตย์ "อยากถอนก็ถอนไปสิ" และ "กำจัดจุดอ่อน" ของรัฐบาล
ขณะที่ 'จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์' รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะประมุขพรรคสีฟ้าก็ย้ำว่าขึ้นอยู่มติของที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าผลออกมาอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของพรรค
และท่าทีของ 'จุรินทร์' ทำให้ 'ประยุทธ์' ต้องออกมาแถลงหลังการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2563 ทันทีโดยขอโทษพร้อมยอมรับตัวเองพูดเร็วเกินไป และขอให้เป็นเรื่องภายในของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะใช้กลไกทางการเมืองเอง
อย่างไรก็ตาม หากถึงคราวที่ต้องใช้มติในที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์เพื่อ "ทบทวนท่าที" เข้าร่วมรัฐบาลก็ไม่น่าจะมีอะไรเซอร์ไพซส์ เพราะ "เสียงข้างน้อย" ของ "ก๊วนอภิสิทธิ์" มีไม่ถึง 10 เสียง
ยกเว้นมี "สัญญาณพิเศษ" จาก "ผู้มีบารมี" ส่งซิก "เลิกพายเรือให้โจรนั่ง" กู้ศักดิ์ศรี "พรรคเก่าแก่" กลับคืนเท่านั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง