วันที่ 2 มี.ค. 2565 กฤษฎา ตันเทอดทิตย์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดหนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สภาพัฒน์ฯได้แสดงความเป็นห่วงปริมาณหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ภาวะเงินเฟ้อ และ หนึ้ครัวเรือนที่พุ่งสูง ซึ่งคณะทำงานเศรษฐกิจได้เตือนไว้นานแล้ว และยังมีแนวโน้มที่จะแย่ลงไปอีก จากผลกระทบของสงครามรัสเซียบุกยูเครน ดังนั้นจึงห่วงว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จะไม่เข้าใจความรุนแรงของผลกระทบในหลายด้านทั้งราคาน้ำมันและราคาก๊าซที่พุ่งสูง รวมถึงราคาปุ๋ย และ ราคาอาหารสัตว์ อีกทั้งยังจะมีผลกระทบถึงการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย เพราะขนาดเศรษฐกิจไทยในปี 64 ฟื้นตัวได้ต่ำเตี้ยเพียง 1.6% หลังจากปี 63 เศรษฐกิจไทยทรุดหนักติดลบไปถึง -6.2% แต่พลเอกประยุทธ์กลับบอกว่าพอใจทั้งที่เป็นความล้มเหลว ทั้งนี้ เชื่อว่าอีกไม่นานธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องปรับการคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2565 นี้ต่ำลงอีก โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อที่จะเกิดจากราคาน้ำมัน และภาวะเงินเฟ้อของโลกจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้ อยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ทราบว่า รัสเซียผลิตน้ำมันวันละ 9.8 ล้านบาเรล เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ และ ส่งออกน้ำมันวันละ 4.7 ล้าน บาเรลเป็นอันดับสองของโลกเช่นกันรองจากซาอุดีอาระเบีย และยังเป็นประเทศที่มีก๊าซธรรมชาติเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยส่งให้ทั้งยุโรป ประเทศหลักๆของยุโรปต่างต้องพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเช่น เยอรมันนี พึ่งพาถึง 49% อิตาลี 46% และ ฝรั่งเศส 24% ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสงครามรัสเซียและยูเครนจะมีผลกระทบต่อราคาพลังงานอย่างมาก โดยเฉพาะที่ยุโรปอาจจะต้องแซงชั่นรัสเซียในการกระทำดังกล่าว ก็หมายความว่าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจะราคาเพิ่มขึ้นอีกมาก โดยบริษัท Vitol เทรดเดอร์น้ำมันใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะสูงกว่า $100 อีกอย่างน้อย 6-9 เดือน และถึงแม้ไม่มีสงครามดีมานด์ที่สูงกว่าซัพพลายของน้ำมันก็ยังคงจะทำให้น้ำมันสูงขึ้นและราคาน้ำมันอาจจะสูงขึ้นไปอีกได้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้คาดการณ์และเตือนไว้แล้วเช่นกัน
การที่พลเอกประยุทธ์ได้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงแค่ลิตรละ 3 บาทเพียง 3 เดือน จะไม่เพียงพอ เพราะตอนนี้ราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง 2 บาทได้ขึ้นกลับมาใหม่แล้ว และกองทุนน้ำมันก็ได้ติดลบเพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงเป็นการดำเนินการที่ “น้อยเกินไปและช้าเกินไป” อีกทั้งยังสั้นเกินไปตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนไว้แต่แรก เพราะราคาน้ำมันน่าจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก และราคาจะสูงอยู่อีกเป็นเวลานาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่ทรุดหนักอยู่แล้วต้องย่ำแย่ลงไปอีก
นอกจากนี้ ไทยจะต้องขึ้นดอกเบี้ยตามทิศทางของดอกเบี้ยโลก ที่คาดกันว่าสหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในเดือนมีนาคมนี้ และ อาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกหลายหนในปีนี้ ซึ่งจะทำให้ปัญหาหนี้เสียของไทยจะเพิ่มขึ้นตามที่สภาพัฒน์กังวล ซึ่งดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับหนี้ภาคธุรกิจ และ หนี้ภาคครัวเรือนที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยก้นมากขึ้น อีกทั้งดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัญหาสำหรับการลงทุนของไทยอนาคต
ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ควรจะต้องพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงอีก ซึ่งควรจะดูตัวอย่างในอดีตเมื่อราคาน้ำมันแพงรัฐบาลสมัยนั้นจะเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเพียงลิตรละ 0.005 บาท (ครึ่งสตางค์) หรือ อาจเรียกได้ว่าแทบไม่เก็บเลย และควรจะต้องออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติมควบคู่กันไปด้วยเพื่อให้ต่อสู้กับปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ อีกทั้งเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม เช่น เร่งสร้างรถไฟความเร็วสูงจากหนองคายเชื่อมไปเวียงจันทร์ ตามที่ตนได้อภิปรายในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ม. 152 ในสภาที่ผ่านมา แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่ได้ตอบเรื่องนี้เลย โดยจะต้องชะลอ หรือยกเลิกการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดไว้ก่อนได้แล้ว จนกว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาก่อน โดยเฉพาะล่าสุดการซื้อเรือดำน้ำแต่กลับไม่มีเครื่องยนต์เพราะเยอรมันไม่ขายเครื่องยนต์ให้จีน น่าเป็นเรื่องขบขันระดับโลก และ เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณอย่างมากโดยไม่เกิดประโยชน์เลย ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลไม่ควรจะใช้จ่ายอะไรสะเปะสะปะอีกต่อไปแล้ว แต่จะต้องนำเงินมาฟื้นฟูเศรษฐกิจให้สำเร็จก่อน