อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2564 ว่า ที่ประชุมได้หารือในประเด็นสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมีมติเห็นชอบในเรื่องแรก เอกสารรับรองการได้รับวัคซีนโควิด-19 โดยผู้ที่ได้รับวัคซีนครบแล้วจะได้รับใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 จากสถานพยาบาลที่ฉีด ไม่มีค่าใช้จ่าย หากประสงค์ที่จะเดินทางไปต่างประเทศให้นำใบรับรองการฉีดวัคซีนไปขอรับวัคซีนพาสปอร์ตหรือ “สมุดเล่มเหลือง” ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมเล่มละ 50 บาท และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ 50 บาท โดยจะมีการออกประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการออกสมุดเล่มเหลือง อย่างไรก็ตาม การนำไปใช้เดินทางในต่างประเทศยังต้องรอข้อตกลงระดับสากลก่อน
ส่วนเรื่องการลดวันกักตัว เนื่องจากขณะนี้ทั่วโลกฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วมากกว่า 250 ล้านโดส ทำให้มีภูมิต้านทานและลดการติดเชื้อได้มากขึ้น ที่ประชุมเห็นชอบการลดวันกักตัวใน 3 กรณี คือ
นอกจากนี้ ที่ประชุมจึงได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรับมือโควิด-19 และเฝ้าระวังแนวชายแดนไทย-เมียนมา จากสถานการณ์การเมืองในเมียนมา เข้มงวดบริเวณแนวชายแดน และจัดสถานกักกันตามชายแดนไว้รองรับเป็นการเฉพาะ
อนุทิน กล่าวต่อว่า คณะกรรมการฯ พิจารณาเรื่องการจัดหาวัคซีนโควิด-19 เพิ่มให้ครอบคลุมประชาชนมากยิ่งขึ้น จากที่จัดหาไว้ 63 ล้านโดส ครอบคลุมประชาชน 31.5 ล้านคน โดยไม่นับกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และคนอายุน้อยกว่า 18 ปี ก็อาจต้องหาเพิ่มเติมอีก 10-20 ล้านโดสโดยอาจขอให้แอสตราเซเนก้าเพิ่มกำลังผลิต หรือจัดหาวัคซีนชนิดอื่นที่มีประสิทธิภาพประสิทธิผลปลอดภัยมากขึ้น
อนุทิน ยังให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งมีหน้าที่ในการขึ้นทะเบียนออกใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง อำนวยความสะดวก เปิดช่องทางพิเศษในการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 สำหรับภาคเอกชน โดยต้องมายื่นเป็นผู้รับอนุญาตนำหรือสั่งยาเข้ามาในราชอาณาจักรก่อน และยื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด 19 จากนั้น อย.จะพิจารณาจากเอกสาร ด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิผล เพื่อให้สามารถอนุมัติทะเบียนโดยเร็วที่สุด
ในส่วนกรณีผู้ได้รับอนุญาตนำเข้ายาอยู่แล้ว เช่น โรงพยาบาลเอกชน หากประสงค์จะนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ก็ต้องมาขอขึ้นทะเบียนวัคซีนอีกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามหลักปฏิบัติสากล ปัจจุบันมีผู้มายื่นขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 กับ อย. แล้ว จำนวน 4 ราย ได้แก่ โควิด-19 วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และโคโรนาแวค ของบริษัท ซิโนแวค นำเข้าโดยองค์การเภสัชกรรม ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนแล้วทั้ง 2 ราย และอีก 2 ราย ได้แก่ วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โดยบริษัท แจนเซ่น-ซีแลก จำกัด และวัคซีนของบริษัท บารัต ไบโอเทค เทคโนโลยี โดยบริษัท ไบโอจีนีเทค จำกัด อยู่ระหว่างการยื่นเอกสาร
“กระทรวงสาธารณสุขยินดีและขอบคุณภาคเอกชนที่เข้ามามีส่วนร่วมดูแลสุขภาพประชาชน พร้อมอำนวยความสะดวกและสนับสนุนเต็มที่ เป็นการแบ่งเบาภาระรัฐบาล ช่วยให้การกระจายวัคซีนทั่วถึง ทำให้กระทรวงสาธารณสุขมีโอกาสไปดูแลประชาชนในส่วนที่จำเป็น ” อนุทินกล่าว
สำหรับขั้นตอนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์วัคซีน 19 ในสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีนำเข้า ดำเนินการดังนี้
1.ให้ยื่นคำขอใบอนุญาตสถานประกอบการด้านยา โดยต้องมีสำนักงาน มีสถานที่เก็บยา มีเภสัชกรประจำ
2.ยื่นคำขอหนังสือรับรองมาตรฐานสถานที่ผลิตยา ซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสารคำขอขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด19 ผ่านการประเมินวิชาการ ด้านคือ คุณภาพ ความปลอดภัย ประสิทธิผล และแผนการจัดการความเสี่ยงของวัคซีน ผ่านที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด19 ทั้งนี้ ขั้นตอนตั้งแต่การประเมินวิชาการถึงการอนุมัติจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้ผู้แทนสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรม ได้กล่าวยืนยันพร้อมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับแรงงานภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศเดินหน้าไปได้
อนุทิน ได้เดินทางมาติดตามกระบวนการรับมอบวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกา ณ คลังวัคซีนอาคาร 6 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยกล่าวว่า เป็นการรับมอบวัคซีนตามที่ได้ตกลงกับบริษัทผู้ผลิต ซึ่งความสำเร็จในการนำเข้า มาจากผลของการหารือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขและสถาบันวัคซีน กับทางบริษัท ในการนำเข้าอย่างเร่งด่วน เพื่อมารับมือกับการระบาดระลอกใหม่
ในส่วนของขั้นตอนทางเอกสาร ได้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว จากนี้ จะนำตัววัคซีน ไปตรวจสอบที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ วัคซีนที่ได้รับ จะทำให้การให้บริการครอบคลุมยิ่งขึ้น เพราะสามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปได้แล้ว แต่จะฉีดให้ใคร อย่างไร ให้เป็นการพิจารณาของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง
อนุทิน กล่าวภายหลังการหารือกับนายหยาง ซิน (Mr. Yang Xin) อุปทูตสถาน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำ ประเทศไทย ระบุว่า ทางท่านทูต ให้ข้อมูลว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 จาก บริษัท Sinovac ล็อต 2 จำนวน 8 แสนโดส จะมาถึงประเทศไทยภายในเดือน มี.ค. ตามแผนการที่วางไว้ ซึ่งที่ผ่านมาต้องขอบคุณท่านทูตที่ช่วยประสานความร่วมมือให้ทางการไทย
การหารือยังรวมถึงเรื่องการให้บริการวัคซีนแก่ชาวจีนที่พำนักในไทย ซึ่งทางการไทย พร้อมพิจารณาอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ทางการไทย ยังขอให้จีนสนับสนุนวัคซีนเพิ่มเติมในฐานะมิตรประเทศ ซึ่งอาจจะรวมถึงการให้วัคซีนเพิ่มเติม เพื่อมาให้บริการแก่ชาวจีนในไทย
นอกจากนั้น ทางการจีนยังเสนอให้ไทยเป็นศูนย์กลางการฉีดวัคซีนกับคนจีนในภูมภาคนี้ ซึ่งไทยรับฟังข้อเสนอแต่จะต้องหารือเพิ่มเติม เพราะไทยต้องพิจารณาในหลายปัจจัย
"วัคซีนที่จะเข้ามาอีก 8 แสนโดส เมื่อเข้ามาแล้ว ทางการไทยต้องตรวจอีกรอบหนึ่ง ต้องมั่นใจในเรื่องของประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความปลอดภัย ถึงจะให้บริการประชาชนได้" อนุทิน ระบุ
//////;