พรรคพลังประชารัฐ โดย สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ “มาดามหลี” ใช้แคมเปญ “รักลุงตู่ กาเบอร์ 7” แต่ผลลัพธ์กลายเป็นว่า มีคนกาเบอร์ 7 แค่ 7,906 คะแนนไม่อาจกู้ชื่อบ้าน “เจนจาคะ” ให้กลับมาบนสังเวียนการเมืองได้อีกครั้ง แม้จะมีหลวงพ่อป้อมไว้คล้องคอ และแม้จะทุ่มเต็มที่
เฉกเช่น พรรคอื่นที่หยิบ พล.อ.ประยุทธ์ มาใช้เป็นโปรโมชั่นดึงดูดโหวตเตอร์ให้มาลงคะแนนให้
ทั้งพรรคกล้า อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ได้ 20,047 คะแนน พันธุ์เทพ ฉัตรนะรัชต์ พรรคไทยภักดี 5,987 คะแนน
รวมคะแนนของพรรคที่เปิดหน้าสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ 4 พรรค รวมกันมี 33,940 คะแนน
อีกด้าน พรรคที่ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ อันได้แก่ พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ที่หนึ่ง และ ที่สอง
คือ สุรชาติ เทียนทอง พรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกตั้งเป็นลำดับที่ 1 ด้วยคะแนน 29,416 คะแนน ลำดับที่ 2 กรุณพล เทียนสุวรรณ พรรคก้าวไกล 20,361 คะแนน
มีคะแนนรวมกัน 49,777 คะแนน เกือบทะลุ 5 หมื่น เมื่อนำคะแนนของพรรคหนุน - ไม่หนุน พล.อ.ประยุทธ์ มาหาส่วนต่างของคะแนน จะพบความต่างกันไม่น้อย
15,837 คะแนน นี่คือตัวเลขของความแตกต่าง
เดิมที แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายรายประเมินว่า ถ้ามีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย อาจเข้าทาง “เสียงจัดตั้ง” ฝ่ายพรรคพลังประชารัฐ
แต่เมื่อถึงชั่วโมงแห่งการนับคะแนนมาถึง ปรากฏว่า มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 88,124 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 167,287 คน คิดเป็นร้อยละ 52.68 เท่านั้น หายไปเกือบ 7 หมื่นคน ที่ไม่ออกมาเลือกตั้ง
คนมาน้อย แต่ก็ยังชนะ
“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เล่าปัจจัยของชัยชนะว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทย ทำการบ้านทุกทาง ปิดช่องโหว่ แก้จุดอ่อน เสริมจุดแข็ง นอจกากเดินเคาะทุกประตูบ้าน ไปทุกชุมชน ยังส่งคนไปจับตาหน้าหน่วยระหว่างนับคะแนน หน่วยละ 4 คน ทั้ง 280 หน่วย ป้องกันการ “เติมบัตรผี”
ขณะเดียวกัน อาการเสื่อมความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ มาถึงจุดสำคัญ ทั้งเศรษฐกิจที่ยังแก้ไม่ได้ วิกฤตโควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อ ประกอบกับ ความไม่มั่นคงในพรรคพลังประชารัฐ ที่แตกออกเป็นเสี่ยง เป็นก๊ก เป็นเหล่า มากกว่า 10 กลุ่ม
“ประเสริฐ” เชื่อว่าสถานการณ์รัฐบาลขณะนี้ขาดเอกภาพอย่างมาก อาจเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นเรื่องพรรคเพื่อไทยต้องเตรียมความพร้อมตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องบุคลากรที่จะลงเลือกตั้ง พรรคได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว
ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อ่านเกมว่า ครั้งต่อไปพรรคการเมืองต้องคิดหนักที่จะต้องเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ กลับเข้ามาสู่อำนาจอีกครั้ง
“ที่พรรคการเมืองมาหาเสียง สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงท้ายการเลือกตั้ง เพราะเป็นผู้นำคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ ไม่มีผู้นำคนอื่นที่จะมาชูในการหาเสียงเลือกตั้งได้ แต่ชัดเจนว่า ขณะนี้พล.อ.ประยุทธ์ไปต่อไม่ได้แล้ว และชัดเจนว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ต่อไม่ได้แล้ว เพราะประชาชนไม่เอา” ภูมิธรรม วิเคราะห์
เขายังเชื่อว่า ที่พรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้การเลือกตั้งสะท้อนว่า ความนิยมต่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ ถึงจุดเสื่อม!
พรรคฝ่ายค้านยังซ่อนดาบไว้หลายเล่ม เตรียมมาเขย่าบัลลังก์ พล.อ.ประยุทธ์ ตอกย้ำ ซ้ำเติมบาดแผล
โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือน ก.พ. หนึ่งในนั้นคือการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของพรรคร่วมฝ่ายค้านในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ว่า ฝ่ายค้านได้คุยเรื่องกรอบเนื้อหา แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่
1.ประเด็นทั่วไป เช่น ของแพง ทุกพรรคมีสิทธิอภิปรายได้ แต่ขอให้เสนอให้ชัดว่าของแพงอะไร ทุจริตคอร์รัปชันทุกพรรคมีสิทธิเจาะได้
2.ประเด็นเฉพาะ เช่น พรรคเพื่อไทยอภิปรายเรื่องเหมืองทองอัครา ส่วนพรรคก้าวไกล จะอภิปรายเรื่องฝุ่น PM 2.5
และวันนั้นอาจเป็นจังหวะเดียวกับ “เส้นตาย” ที่ 21 ส.ส.ก๊กผู้กองนัส ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ต้องสังกัดพรรคใหม่ภายใน 30 วัน ที่ว่ากันว่า 18 สมาชิก ในจำนวนเต็ม 21 ส.ส. เตรียมย้ายไปอยู่พรรคใหม่ในนาม “พรรคเศรษฐกิจไทย”
แม้ว่าวันนี้ ยังไม่เห็นหัวเห็นหางพรรคเศรษฐกิจไทย แต่คอการเมืองเดาได้ไม่ยากว่า “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี – หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็จะเป็นส่วนสำคัญเบื้องหลัง บัญชาการให้เป็น พรรคพลังประชารัฐสาขา 2 ก็ไม่ผิดนัก
พี่ใหญ่คุมเองทั้งสองพรรค ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในสภาพ “ขาลอย” ขึ้นอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ กองเสนาธิการทำเนียบ และกลุ่มทุนฝ่ายรัฐบาลจะฮึดสู้แค่ไหน
18 เสียง ของ ร.อ.ธรรมนัส ถูกยกให้เป็นตัวแปรสำคัญที่จะโค่นบัลลังก์ พล.อ.ประยุทธ์ได้ หากถึงเดือน พ.ค. แล้วยังเคลียร์ไม่จบ
จุดเสื่อม พล.อ.ประยุทธ์ คือของจริง ไม่แพ้ข้าวปลาที่แพงของจริง เศรษฐกิจย่ำแย่ของจริง
หลังการเลือกตั้งซ่อมหลักสี่ - จตุจักร ร.อ.ธรรมนัสโพสต์เฟซบุ๊กว่า the enemy of my enemy is my friend
“ศัตรู ของ ศัตรู คือ เพื่อน” ทิ้งคำไว้เป็นปริศนา ในช่วงที่ ร.อ.ธรรมนัส ลี้ภัยการเมืองในประเทศ ไปวางหมากการเมืองครั้งใหม่ที่ฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์