แถลงการณ์จาก 'แอมะซอน' หนึ่งในบริษัทค้าปลีกออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกชี้ว่า บริษัทจะขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานที่ทำงานล่วงเวลาในสหรัฐฯ ในกลุ่มพนักงานคลังสินค้า ที่ต้องตอบสนองกับคำสั่งซื้อจำนวนมากของผู้บริโภค ท่ามกลางมาตรการกักตัวเองอยู่ที่บ้านของรัฐบาลสหรัฐฯ
โดยพนักงานคลังสินค้าของหสรัฐฯ จะได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น 2 เท่า หลังทำงานครบ 40 โมงเป็นต้นไป จากเดิมที่ค่าเงินล่วงเวลา (โอที) เคยอยู่ที่อัตรา 1.5 เท่า ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 มี.ค. - 9 พ.ค. ที่จะถึงนี้
‘เจฟ เบซอส’ ซีอีโอของแอมะซอนออกมากล่าวว่า ขณะที่ความทุ่มเททั้งหมดของเขา พุ่งไปที่โควิด-19 และจุดยืนของแอมะซอนท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว อีกทั้ง นี่ยังเป็นครั้งที่ 2 ของสัปดาห์นี้ที่บริษัทออกมาประกาศขึ้นค่าแรงให้พนักงาน โดยเมื่อวันจันทร์ (16 มี.ค.) ที่ผ่านมา บริษัทออกมาประกาศการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 17 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 554 บาท) จากเดิมที่อยู่ที่ 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 489 บาท) พร้อมประกาศเพิ่มการจ้างงานอีกกว่า 100,000 ตำแหน่ง
ขณะเดียวกัน ‘เบซอส’ เองยังออกมากล่าวถึงมาตรการดูแลความปลอภัยของพนักงานที่ก่อนหน้านี้เคยได้รับคำวิจารณ์ว่า บริษัทได้สั่งหน้ากากอนามัยนับล้านชิ้นมาเพื่อพนักงานโดยเฉพาะ แต่เนื่องด้วยสินค้าที่มีจำนวนจำกัดจึงอาจจะยังส่งไปไม่ถึงมือทุกคน “แต่เมื่อเป็นของเราแล้ว เราให้ความสำคัญกับพนักงานมาเป็นอันดับแรก”
ทั้งนี้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มีรายงานอย่างเป็นทางการว่าพนักงานรายแรกของแอมะซอนตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งพนักงานรายนี้ทำงานอยู่ในคลังสินค้าที่นิวยอร์ค ส่งผลให้ต้องมีการปิดคลังสินค้าชั่วคราว
ด้านคู่แข่งคล้าปลีกออนไลน์อย่าง ‘วอลมาร์ท’ เอง ก็ออกมาประกาศจะจ้างคนงานเพิ่มอีก 150,000 ตำแหน่ง พร้อมเตรียมเงินมูลค่า 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 17,930 ล้านบาท) ไว้เป็นโบนัสสำหรับพนักงาน