เมื่อพูดถึงการวินิจฉัยโรคต่างๆ ความเชื่อมั่นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ในปัจจุบันยังคงเทไปให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม ด้วยวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยี และแนวโน้มการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายฝ่ายจึงออกมาผลักดันการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ เพื่อช่วยเหลือในวงการการแพทย์มากขึ้น
ล่าสุด มอร์แกน สแตนลีย์ บริษัทให้บริการทางการเงินระดับโลก ออกมาคาดการณ์ว่าตัวเลขเม็ดเงินลงทุนในเอไอ จะเพิ่มขึ้นจาก 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 40,000 ล้านบาท ในปี 2562 เป็น 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 300,000 ล้านบาท 2567
ตัวเลขดังกล่าว ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพของเทคโนโลยีที่จะมาวินิจฉัยโรคให้มนุษย์มีมากขึ้น
'เพียซ คีน' จักษุแพทย์ให้คำปรึกษา จากโรงพยาบาลจักษุมอร์ฟิลด์ ออกมาให้สัมภาณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นตั้งแต่ 5 ปีที่แล้วว่า แพทย์ต้องเผชิญหน้ากับผู้ป่วยจำนวนมาก จนทำให้ผู้ป่วยบางคนต้องสูญเสียการมองเห็นไปอย่างรักษาไม่หาย เพราะไม่ได้รับการรักษาอย่างทันเวลา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ดีในวงการแพทย์ หากจะมีเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มศักยภาพให้กับเครื่องตรวจจอประสาทตาของผู้ป่วย
นอกจากนี้ เพียซ ยังไปร่วมงานกับ 'ดีปมายด์' ศูนย์วิจัยเอไอในอังกฤษที่มีกูเกิลเป็นเจ้าของ เพื่อพัฒนาอัลกอริทึมที่ทำการศึกษาภาพม่านตามนุษย์กว่า 14,884 ม่านตา จนสามารถวินัจฉัยได้ภายในเวลา 30 วินาที
เทคโนโลยีดังกล่าวยังสามารถวินิจฉัยโรคเกี่ยวกับดวงตาที่แตกต่างกันได้กว่า 50 โรค เช่น ต้อหิน เบาหวานเข้าจอประสาทตา การเสื่อมสภาพตามอายุ ทั้งยังสามารถให้คำแนะนำกับผู้ป่วยได้ด้วยว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรระหว่างการรักษา
มีการตีพิมพ์ผลการทดลองระยะต้นในวารสารการแพทย์เนเจอร์ ซึ่งแสดงให้เห็นความแม่นยำในการตรวจวินิจฉัยโรคของเอไอในระดับเดียวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่อัตราร้อยละ 94.5
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังไม่สามารถใช้งานจริงได้ เพราะต้องผ่านกระบวนการการอนุญาตและการทดสอบระบบที่ยาวนานของภาครัฐก่อน
"มันมีความเป็นไปได้สูงมาก แต่ก็อาจจะใช้ไม่ได้จริงเช่นเดียวกัน" เพียซ กล่าว
นักวิทยาศาสตร์จาก เวลล์ หน่วยวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยคอร์เนล กำลังพัฒนาระบบอัลกอริทึมที่มีความสามารถในการเรียนรู้ระดับลึกในการบ่งชี้ว่าตัวอ่อนของทารกในระยะแรก หรือ 'เอ็มบริโอ' ใดที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะพัฒนาและเติบโตในการตั้งครรภ์ในระหว่างกระบวนการปฏิสนธินอกร่างการ หรือ 'การทำเด็กหลอดแก้ว' สำหรับผู้ที่มีบุตรยาก
ตามข้อมูลจากวารสารทางการแพทย์ดิจิทัล เอ็นพีเจ อัลกอริทึมที่มีชื่อว่า 'สตอร์ก' สามารถวิเคราะห์สุขภาพของเอ็มบริโอที่ดีและไม่ดีได้จากภาพถ่ายแบบเหลื่อมเวลา หรือ 'ไทม์แลปส์' ซึ่งโดยปกติต้องให้นักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนเป็นคนทำ และมีอัตราความถูกต้องถึงร้อยละ 97
'นิคิกา ซานิโนวิค' นักวิทยาศาสตร์เพาะเลี้ยงตัวอ่อนจากศูนย์การแพทย์เพื่อการสืบพันธุ์ มหาวิทยาลัยคอร์เนล กล่าวว่า โดยปกติแล้วการคัดเลือกสุขภาพตัวอ่อนอ้างอิงบนความคิดเห็นส่วนบุคคล หากมีการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ ก็จะสามารถสร้างมาตรฐานได้ดียิ่งขึ้น
ด้าน 'เซฟ โรเซนวัค' ผู้อำนวยการศูนย์การแพทย์เพื่อการสืบพันธุ์ มหาวิทยาลัยคอร์เนล เสริมว่า เทคโนโลยีดังกล่าว จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระหว่างการปฏิสนธินอกร่างกายให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นด้วย ซึ่งส่งผลโดยตรงกับค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยต้องเสียให้กับการทำเด็กหลอดแก้วเป็นจำนวนหลายครั้ง
ปัจจุบัน เทคโนโลยีตรวจดูสุขภาพเอ็มบริโอยังอยู่ในช่วงพัฒนาและทดลองเท่านั้น โดยมีการคาดการณ์ว่าจะสามารถทดลองได้มากขึ้นภายใน 1-2 ปีข้างหน้า
หนึ่งในงานพัฒนาของภาควิทยาการคอมพิวเตอร์และห้องทดลองเอไอ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) สามารถคาดการณ์ได้ว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มจะเป็นโรคมะเร็งเต้านมหรือไม่โดยวินิจฉัยจากภาพเอกซเรย์
ภาพจาก Pablo Heimplatz
โดยต้นแบบเทคโนโลยีนี้ต้องศึกษาภาพเอกซเรย์เต้านมของผู้หญิงกว่า 60,000 คน เพื่อเรียนรู้รูปแบบเนื้อเยื่อที่จะพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ซึ่งตาของมนุษย์มองไม่เห็น
ผลลัพธ์ที่ออกมาพบว่า เทคโนโลยีนี้มีความสามารถในการวินิจฉัยผู้ป่วยมะเร็งเต้านมไว้ในประเภทผู้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งถึงร้อยละ 31 แม่นยำกว่ารูปแบบเดิมที่ทำได้แค่ร้อยละ 18 เท่านั้น
'เรจินา บาร์ซิเลย์' อาจารย์จากสถาบันเอ็มไอทีและอดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมกล่าวว่า เธอเคยลองนำภาพเอกซเรย์เต้านมของตนมาผ่านเทคโนโลยีการวิเคราะห์ที่ชี้ว่าเธอมีความเสี่ยงการมะเร็งสูง 2 ปี ก่อนที่เธอจะถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมจริงๆ
เรจินา เสริมว่า มะเร็งยังสามารถรักษาได้หากพบในระยะแรกๆ โดยเธอหวังว่าการใช้เทคโนโลยีเอไอนี้จะสามารถช่วยผู้หญิงอีกหลายคนให้ตรวจพบความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านม เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด
ปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้ถูกนำเข้าไปใช้จริงแล้วที่โรงพยาบาลเจเนอรัลแมสซาชูเซตส์ และกำลังมีการพูดคุยเพื่อนำเทคโนโลยีนี้เข้าไปติดตั้งในโรงพยาบาลอีกหลายแห่งทั่วประเทศสหรัฐฯ
งานวิจัยและพัฒนาอีกหนึ่งชิ้นของ 'ดีปมายด์' ที่ร่วมกับ กระทรวงการทหารผ่านศึกสหรัฐฯ เก็บตัวอย่างประวัติการรักษาทางการแพทย์ของทหารกว่า 700,000 ราย ในการศึกษาเพื่อให้ เอไอ สามารถเตือนทีมแพทย์ถึงภาวะไตวายเฉียบพลันได้
เอไอจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลนับ 10 ปี ของทหารแต่ละรายเพื่อสร้างสูตรในการวินิจฉัยความผิดปกติ โดยผลลัพธ์ของการศึกษานี้ ทำให้เอไอสามารถวินิจฉัยโรคได้ถูกต้องจากคนไข้ 9 ใน 10 คน ซึ่งทำได้ดีกว่าเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบันถึงเกือบ 2 เท่า
'คริส รัซเซล' นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ กล่าวว่า การพัฒนาที่ดีขึ้นเป็นเท่าตัวเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก แต่ก็ยังไม่สามารถมั่นใจถึงศักยภาพของเอไอได้เต็มที่ หากเทคโนโลยียังไม่เก่งกว่าแพทย์ที่เป็นมนุษย์
หนึ่งในอุปสรรคพื้นฐานสำหรับการนำเทคโนโลยีเอไอเข้ามาใช้ในวงการแพทย์ คือ เทคโนโลยีเหลานี้เรียกร้องการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของประชากรจำนวนมาก และข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป แต่เป็นข้อมูลอ่อนไหวที่เกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของบุคคลนั้นๆ โดยเฉพาะ
ก่อนที่เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ได้จริง นอกจากจะต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าได้มาตรฐานเรื่องประสิทธิภาพ ภาครัฐก็ควรเข้ามาตรวจสอบและตั้งกฏเรื่องการดูแลข้อมูลประชากรที่ต้องถูกนำไปใช้ในการศึกษาและพัฒนาในถี่ถ้วนด้วยเช่นเดียวกัน