คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ลงพื้นเขตบางกอกน้อย พร้อมด้วยนาย นายพงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขตบางกอกน้อย พรรคเพื่อไทย นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตผู้สมัครส.ส. เขตบางกะปิ พรรคเพื่อไทย และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาร่วมทัศนศึกษา
คุณหญิงสุดารัตน์ เข้ากราบนมัสการเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม และเดินชมจิตรกรรมฝาผนัง จากนั้นมีการสักการะอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช โดยมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งมารอต้นรับพร้อมมอบดอกกุหลาบสีแดงให้กำลังใจ
คุณหญิงสุดารัตน์ เปิดเผยว่า การสนับสนุนการท่องเที่ยวในชุมชน ต้องอาศัยการจัดการตัวเองของชุมชน และอาศัยความร่วมมือคนท้องถิ่นจริงๆ ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะรัฐส่วนกลางคิดเอง
อย่างไรก็ตาม แม้พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็มีโครงการที่จะสร้างมาตรการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนภายใต้โครงการนวัตกรรมแก้จนเขตบางกอกน้อยเป็นโมเดล ซึ่งจะสามารถ สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชน ทั้ง การท่องเที่ยว ผลักดันของดีที่มีอยู่แล้วรวมทั้งรักษาเอกลักษณ์ขนบธรรมเนียมประเพณี
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกมานั้น เห็นด้วยว่าควรเร่งดำเนินการ แต่ก็ยังมีจุดที่ไม่เห็นด้วยเพราะมองการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องใช้ยาแรงมากพอ พร้อมทั้งห่วงเรื่องงบประมาณ กว่า3 แสนล้านบาท อาจไม่เพียงพอ เนื่องจากเงินส่วนใหญ่มากกว่าหนึ่งแสนล้านถูกใช้ไปกับการปล่อยกู้และให้สินเชื่อ รัฐบาลยังเลือกใช้วิธีการผิดโดยกระจายเม็ดเงินแทนที่การจัดเงินลงไปให้ตรงจุด ที่สำคัญ
รัฐบาลควรเลิกซื้ออาวุธและนำเงินมาช่วยชาวบ้านนำเม็ดเงินมาทุ่มเพื่อแก้เศรษฐกิจกับคนฐานใหญ่ในประเทศ เพราะขณะนี้ปัญหาเศรษฐกิจเลยจุดวิกฤติ แต่เศรษฐกิจกำลังหายนะ และหวังว่าในการประชุมเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า จะนำสิ่งที่พรรคฝ่ายค้านเสนอไปทบทวน
ถ้า“พล.อ.ประยุทธ์” ไม่มีปัญญาแก้ปมถวายสัตย์ต้องเอาเรื่องเข้าสภาฯ
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวถึงกรณี ที่7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ขอเปิดอภิปรายทั่วไปนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา152 กรณีถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงมีการเรียกร้องให้นายกฯ มาชี้แจงในสภาฯ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่ต้องเรียกร้องแต่เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ วันนี้สิ่งที่ต้องพูดคือเหตุใดเราต้องพูดถึงการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วน และการแถลงนโยบายไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ในเมื่อรัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุดและเป็นรัฐธรรมนูญนี้นายกฯผลักดันและร่างขึ้นมาเอง เพื่ออำนวยให้กลับมาเป็นนายกฯ ได้อีกครั้ง แต่กลับไม่ปฏิบัติตามในสิ่งที่ตนเองร่างเองเขียนเอง
ทั้งนี้การทำผิดไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จากการใช้รัฐธรรมนูญมา 2-3 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ทำในสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายครั้ง แต่ในอดีตเป็นหัวหน้าคสช. มีมาตรา 44 ที่ใช้ยกเว้นมาตราต่างๆของรัฐธรรมนูญได้ เดินตามเส้นทางของประชาธิปไตย และไม่มีม.44 แต่ยังทำผิดรัฐธรรมนูญได้
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ ควรทำในสิ่งที่ถูกต้องในรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ การกระทำดังกล่าวเหมือนกลัดกระดุมถ้าเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปก็ผิดหมด ซึ่งการเสนอครั้งนี้ให้เคลียร์ปัญหา เป็นความหวังดีของฝ่ายค้าน เพราะกลัวว่าการทำงานของรัฐบาลจะเป็นโมฆะ หากเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา เช่นการอนุมัติงบประมาณ 5 หมื่นล้าน ไปช่วยเกษตรกร หากเกิดมีคนไม่เห็นด้วย และมีการร้องเรียนว่าโครงการนี้ ถูกการอนุมัติจากครม.ไม่มีความสมบูรณ์ ตามกฎหมาย
และหากในอนาคตศาลตัดสิน ว่าผิดรัฐธรรมนูญจริง เมื่อเงินแจกลงไปถึงพื้นที่แล้วจะไม่สามารถเอาคืนได้ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พรรคฝ่ายค้านหวังดี เมื่อรู้ว่าตนเองทำผิดและสารภาพว่าตนเองทำผิดก็ควรจะแก้ไขด้วยตนเอง แต่กลับปล่อยเวลามาเป็นเดือนไม่ทำอะไรเลย และจะบริหารงานต่อทั้งที่กระดุมเม็ดอื่นยังผิดอยู่ ซึ่งการแก้ไขจะเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา เสียโอกาสชาวบ้าน
“เราเปิดการอภิปรายทั่วไปไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายนายกฯ เพียงแต่คิดว่าเมื่อนายกฯ ไม่มีปัญญาแก้ไข ปัญหาด้วยตนเอง ก็เอาเข้าสภาฯ ให้ร่วมกันคิด ร่วมกันแก้ นายกฯคิดอย่างไร สภาฯ มีความเห็นอย่างไรก็ปรึกษากัน ให้ถูกต้องและจะได้แก้ในสิ่งที่ผิดกฎหมายให้ถูกต้องตามกฎหมาย อย่าพยายามพูดว่าเหมือนจะจองล้างจองผลาญไม่จบ ซึ่งไม่มีใครอยากจองล้างจองผลาญ แต่สิ่งที่ทำเป็นไฟที่ตัวนายกฯจุดขึ้นมาเอง และก็เผาไหม้ตัวเอง พรรคฝ่ายค้านก็เพียงแค่จะไปช่วยดับให้ จะได้มาช่วยทำงานให้กับประชาชน ยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ทำตัวเองทั้งนั้น ดังนั้นอย่ากลัวสภาฯ นายกฯ ต้องไปทำความเข้าใจกับระบอบประชาธิปไตย และการทำงานในระบบรัฐสภาใหม่ นายกฯ จะกลัวการเข้าสภาฯ เหมือนเด็กกลัวเข้าบ้านผีสิงอย่างที่สื่อมวลชนเขียนไม่ได้” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
เมื่อถามว่านายกฯ ย้ำว่าจำเป็นต้องรอคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวนี้มีระบบอยู่แล้ว ทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็ทำไป ทางสภาฯ ก็ดำเนินการไป รัฐธรรมนูญที่นายกฯ คนนี้ ผลักดันให้ออกมาเองก็มีมาตรา 152 ให้มีการปรึกษาหารือกัน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วทำไมจึงไม่ใช้สภาฯแก้ไขปัญหา ทั้งนี้นายกฯ มาจากวิถีประชาธิปไตย ต้องไม่กลัวสภาฯ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :