วันที่ 7 มิ.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สนธิญา สวัสดี ร้อง กกต. ถึงกรณีของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่มีกรณีถือหุ้นไอทีวี โดยกรณีดังกล่าว พิธา ทำผิดข้อบังคับพรรคร่วมพัฒนาชาติไทย ก่อนจะกลายมาเป็นพรรคผึ้งหลวง และพรรคก้าวไกล
โดยข้อบังคับพรรคดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ก็ถูกพิจารณาคดีการถือหุ้นสื่อ จึงเป็นที่มาของข้อบังคับพรรคก้าวไกลในข้อ 12 (6) ที่เน้นในเรื่องห้ามสมาชิกพรรคถือหุ้น และถือว่าผิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ โดยประเด็นนี้เหมือนกรณีที่ ถาวร เสนเนียม อดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ต้องออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพราะทำผิดข้อบังคับพรรค และในกรณีนี่ พิธา อาจอยู่ในข่ายกระทำผิดข้อบังคับพรรคเช่นเดียวกัน
สนธิญา กล่าวอีกว่า ในส่วนกรณีการถือหุ้นนั้นได้เห็นนักวิชาการทางกฎหมายออกมาแสดงความเห็นมากมาย ซึ่งต้องย้ำว่า การถือหุ้นของ พิธา เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ม. 98 (3) และม. 106 (6) ด้วยเหตุดังกล่าว ไม่ว่าจะยกกฎหมายว่าด้วยมรดก กฎหมายว่าด้วยแพ่งอาญา หรือกฎหมายอะไรก็ตามมาอ้าง แต่การถือหุ้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายมหาชน หรือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถนำกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งมาหักล้างได้ เพราะจะขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ม.5 ทำให้ พิธา ไม่มีคุณสมบัติสมัคร ส.ส. และไม่ได้เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ ม. 88 และไม่เข้าสู่กระบวนการการเลือกนายกฯ ตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง และนำไปสู่บทบัญญัติความผิดว่าด้วย ม.92 (3) ซึ่งทำให้มีการพิจารณายุบพรรค
ทั้งนี้ เมื่อถามว่า กรณีถือหุ้นนั้น พิธา ได้ชี้แจงผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวไปแล้ว สนธิญา กล่าวว่า เป็นเรื่องเพ้อฝัน เพราะถ้าพิธาขายหุ้นก่อนสมัคร ส.ส. จะมีปัญหาไหม ถ้าไม่มีข้อบังคับพรรค แล้วพวกที่ออกมาร้องๆ จะมีเรื่องไหม ซึ่งถ้าตนร้องผิดก็พรรคก้าวไกลก็สามารถแจ้งความ ม.101 โทษติดคุก 5 ปี ห้ามทำงานการเมือง 10 ปี พร้อมย้ำให้ทางพรรคก้าวไกลมาค้านที่ กกต. ได้เลย โดยการมาวันนี้ตนก็มาเพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญ และขณะนี้ กกต. ก็ยังไม่รับรอง ส.ส.