ไม่พบผลการค้นหา
'พิชัย' ชี้ 'คดีกบต้ม' เป็นหลักฐานชัด "ประยุทธ์" ไม่ฟังคำเตือนเศรษฐกิจทรุด กลับกลั่นแกล้ง แนะไม่รู้อย่าอวดรู้เพราะความเสียหายจะมาก ห่วงเงินกู้ 4 แสนล้าน สูญเปล่า

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวว่า ได้รับหนังสือที่ ตช 0026(12)3/1177 ลงวันที่ 12 พ.ค. 2563 จาก กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ในฐานะผู้ต้องหาในคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยแจ้งให้นำพยานมาสืบเพิ่มเติม หลังจากครั้งที่แล้วที่นำพยานคือ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว. คลัง เข้าให้ปากคำแล้ว และตนได้มอบหมายให้ทนายความของตนคือ นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่แล้ว 

S__11206741.jpg

ทั้งนี้ ตนอยากให้ประชาชนได้เห็นว่าคดี "กบต้ม" นี้ เป็นหลักฐานอย่างชัดเจนว่า ตนได้เตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาตลอดว่า รัฐบาลได้บริหารงานทางเศรษฐกิจผิดพลาดแล้วจะทำให้ประชาชนค่อยๆ เดือดร้อนจนถึงเดือดร้อนกันอย่างหนัก เหมือนในทฤษฎีกบต้มของต่างประเทศที่มีอยู่จริง

แต่นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์จะไม่รับฟังแล้วยังส่งคนใน คสช. มาดำเนินคดีกับตนเหมือนเป็นการกลั่นแกล้งใช่หรือไม่ หลังจากที่ได้เรียกตนไปปรับทัศนคติแล้วถึง 8 หน และดำเนินคดีกับตนอีกหลายคดีเพียงเพราะตนได้วิพากษ์วิจารณ์และตักเตือนทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ เพราะเศรษฐกิจไทยย่ำแย่ทรุดตัวลงมาตลอดหลังการปฏิวัติ ตั้งแต่ก่อนมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 เศรษฐกิจไทยก็ย่ำแย่อยู่แล้ว ขยายตัวได้เพียง 1.6 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น พอมีวิกฤตไวรัสซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการเร่งไฟให้กับหม้อต้มกบ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอยและติดลบหนักในปีนี้ ธุรกิจจะล้มละลายปิดตัวกันจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้มีการว่างงานเพิ่มขึ้นสูง โดยคาดกันว่าจะมีคนตกงานกันถึง 7-10 ล้านคน ประชาชนจะเดือดร้อนกันอย่างหนัก แสดงถึงน้ำที่กำลังเดือดในหม้อต้มกบอย่างชัดเจน ซึ่งรัฐบาลน่าจะต้องสำนึกได้แล้ว แทนที่จะมาดำเนินคดีกับตน 

ในสภาวะเศรษฐกิจที่ทรุดหนักและจะทรุดหนักลงอีกเรื่อยๆ นี้ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเปิดใจรับฟังความเห็นทางเศรษฐกิจทุกด้าน อย่าอวดอ้างว่ามีความรู้ทางเศรษฐกิจดี ทั้งที่ไม่เคยแสดงว่ามีความรู้เลย อีกทั้งยังให้ความเห็นทางเศรษฐกิจผิดพลาดมาโดยตลอด แม้กระทั่งล่าสุดบอกว่าให้คนไทยดูตัวอย่างประเทศที่ทำงานเพียง 6 เดือนแต่อยู่ได้ทั้งปี โดยที่ไม่ได้ศึกษาเลยว่าประเทศเหล่านั้นเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว รายได้ของประชากรของเขาสูงกว่าของคนไทยหลายเท่า 

ทั้งนี้เพราะรัฐบาลของประเทศเขาฉลาดและเก่งมีความสามารถในการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า และสามารถให้การศึกษาที่ดีแก่ประชาชน และ สร้างงานที่สร้างรายได้สูงให้กับประชาชนได้ ต่างกันลิบลับกับของประเทศไทยที่ตลอด 5 ปี รัฐบาลบริหารเศรษฐกิจไทยได้อย่างย่ำแย่ เศรษฐกิจขยายตัวได้ต่ำเตี้ย อีกทั้งรัฐบาลนอกจากไม่สร้างงานที่มีรายได้สูงแล้ว ยังทำประชาชนตกงานและอดอยาก ต้องฆ่าตัวตายกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งหากผู้นำของประเทศยังมีกรอบคิดที่แคบแบบนี้ ไม่มีทางเลยที่ประเทศไทยจะพัฒนาได้ และไม่มีทางเลยที่คนไทยจะสามารถทำงาน 6 เดือนแล้วอยู่ได้ทั้งปีเหมือนประเทศอื่น นอกจาก 250 สว. ที่ พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งมาเพื่อกินเงินเดือนสูงๆ แต่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเท่านั้น 

นอกจากนี้ ตามที่ตนได้เตือนการใช้เงินกู้ 400,000 ล้านบาทไว้แล้ว แต่กลับมีแนวทางที่สะเปะสะปะ ไม่มีแผนงานที่ชัดเจน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ประกาศว่า จะใช้เงินเพื่อให้ประชาชนเข้าสู่ภาคเกษตรมากขึ้น ซึ่งเป็นแผนงานที่ย้อนยุค แทนที่จะย้ายคนจากออกจากภาคเกษตรที่มีรายได้ต่ำมาสู่ภาคบริการที่มีรายได้สูงกว่า อีกทั้งเกษตรแบบไหนถึงจะรับคนที่จะตกงานได้หลายล้านคนซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แล้วเอสเคิร์ฟ ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่นายสมคิดเคยเสนอเพื่อการพัฒนาประเทศหายไปไหน คงไม่ต่างจากที่ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีต รองนายกฯ ได้วิจารณ์ว่านายสมคิดได้แต่โกหกประชาชนไปเรื่อยๆ และยังอาจจะให้ข้อมูลที่บิดเบือนกับ พล.อ.ประยุทธ์ด้วย  

อีกทั้งยังมีการประกาศว่าจะใช้เงินเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพ ซึ่งก็เป็นแนวทางเดิมของประเทศอยู่แล้ว ไม่ใช่แนวทางใหม่ น่าจะเป็นการใช้เงินอย่างสะเปะสะปะโดยเปล่าประโยชน์ตามที่ตนแสดงความเป็นห่วงไว้แล้ว แทนที่จะใช้เงินในการพัฒนาประเทศในแนวทางที่จะให้มี การพัฒนาธุรกิจดิจิทัล การให้ประชาชน เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะช่วยพัฒนาประเทศในอนาคตได้มากกว่า เป็นต้น 

ดังนั้น จึงเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่มีแนวทางที่จะฟื้นเศรษฐกิจอย่างชัดเจน อีกทั้งไม่ยอมฟังเสียงท้วงติง พอโดนประชาชนด่ากันมากๆ ถึงจะคิดแก้ไข ซึ่งจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยมีปัญหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนประชาชนจะทนกันไม่ไหวอย่างแน่นอน